การขยายผลเข้าตรวจค้นแคมป์ที่พักของกลุ่มโรฮิงญาบนเทือกเขาแก้ว ชายแดนไทย-มาเลเซีย ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา พบศพชาวโรฮิงญาที่แคมป์พักรอชั่วคราว 1 คน และศพชาวโรฮิงญาเสียชีวิตถูกฝังอีก 25 ศพ

กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่มีผลกระทบอย่างหนักในเรื่องการค้ามนุษย์ของไทยซึ่งถูกจับตาจากประเทศ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป เกี่ยวกับท่าทีการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญาของรัฐบาลไทย

แม้สาเหตุการเสียชีวิตชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่เจ็บป่วยขาดอาหาร แต่มีชาวโรฮิงญาบางส่วนที่ถูกกักขังทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต เข้าข่ายความผิดเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องลงมาเล่นเองกระตุกให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องยึดถือเป็นนโยบายเร่งด่วน

กำชับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ขยับลงพื้นที่ด้วยตัวเองติดตามปัญหาวางมาตรการแก้ไขปัญหาการเคลื่อนย้ายชาวโรฮิงญา ส่งประเทศที่สาม

พล.ต.อ.สมยศ สั่งเร่งสืบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าระดับไหน มอบ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบค้ามนุษย์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. งานความมั่นคงและชุดสืบสวนพิเศษ ตร.

...

พล.ต.อ.สมยศใช้ความเข้าใจ และยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นมานานยึดถือแนวนโยบายรัฐบาลในการขุดรากถอนโคนขบวนการเพื่อยุติการค้าชาวโรฮิงญา

เริ่มจากขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับกุมผู้ต้องหา 8 คน มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ มือไม้ของนักการเมืองผู้มีอิทธิพลปาดังเบซาร์ อดีตนักการเมืองดัง จ.สตูล และผู้มีอิทธิพลพื้นที่ จ.ระนอง ที่อยู่เบื้องหลังผลประโยชน์ส่งออกชาวโรฮิงญา

มีคำสั่งเรียก ผบก.ภ.จ.สตูล, ผกก.สภ.ควนโดน จ.สตูล, “5 เสือโรงพัก” สภ.ปาดังเบซาร์ และรอง สว.ยันชั้นประทวน 12 นาย ในสังกัดตำรวจภูธร ตชด.และ ตม.มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.

ตามมาด้วยคำสั่ง 234/2558 เรียก 38 นายตำรวจระดับรอง ผบก.ยัน สว.ในสังกัด บก.ตม. บก.ปคม. บก.รน. และตำรวจท้องที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.ตร. พร้อมสั่ง “จเรตำรวจ” สืบสวนทางลับ เพื่อเอาผิดตำรวจที่มีส่วนสนับสนุนเรียกรับผลประโยชน์ ถ้ามีมูลจะย้ายออกพ้นพื้นที่และดำเนินคดีอาญาตามลำดับ

เป็นยาขนานแรงของ พล.ต.อ.สมยศ เพื่อแสดงให้เห็นความจริงใจในการแก้ไขปัญหาใหญ่ของรัฐบาล

อดีตที่ผ่านมาโรฮิงญาได้มีนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง มีส่วนช่วยเหลือ สนับสนุน คุ้มครอง และเรียกรับผลประโยชน์กลุ่มโรฮิงญา ขึ้นอยู่หน่วยไหนจะยอมรับความจริง หรือคิดปกป้องลูกน้อง

ปล่อยให้เครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ลอยนวล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็นรับประโยชน์

ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ UNSCR และสหภาพยุโรป ไม่เชื่อใจรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา

การขยับใหญ่โยกตำรวจที่น่าสงสัยพ้นพื้นที่และเดินหน้าเข้าหา “ตัวการใหญ่” ที่อยู่เบื้องหลังของ 2 ประสาน พล.ต.อ.เอกประสาน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 44 คน

พล.ต.อ.สมยศยอมกลืนเลือดปัดกวาดบ้านโยกย้ายตำรวจที่เกี่ยวข้องชุดใหญ่ แต่หลายหน่วยงานที่การสืบสวนทางลับเชื่อมโยงเครือข่าย มีส่วนเรียกรับประโยชน์ ช่วยเหลือคุ้มครองอย่างเต็มใจกลับไม่ทำอะไร

...

ไม่นานจะเป็น “เงื่อนไข” ข้อกังขาของสังคมโลก บีบแน่นรัดคอรัฐบาลจนดิ้นไม่ออก

โรฮิงญา พี่น้องร่วมโลกที่ถูกตีค่าไม่ต่ำกว่าสินค้าเพื่อแลกกับเงิน ชีวิตไม่ต่างจาก “ทาส” เป็นกลุ่มชนบริเวณชายแดนฝั่งประเทศเมียนมาร์ที่พูดภาษาจิตตะกอง-เบงกาลี นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งรัฐบาลทหารเมียนมาร์ปฏิเสธสถานภาพพลเมืองของชาวโรฮิงญา ส่งผลให้มีชาวโรฮิงญาจำนวนมากต้องการอพยพลี้ภัยไปยังประเทศอื่นที่แสวงหาชีวิตที่ดีกว่า

จุดนี้เองที่เป็นที่มาของการเดินทางอพยพย้ายถิ่นฐานของชาวโรฮิงญา...ยอมไปตายดาบหน้า...แล้วแต่โชคชะตา...แต่ยังมีพวกที่หิวเงินกลุ่มหนึ่งมาอาศัยความเดือดร้อนความจำเป็นของพี่น้องชาวโรฮิงญาเป็นช่องทางแสวงหารายได้ หาเงิน หาผลประโยชน์ มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบและทำกันมายาวนานไม่น่าจะน้อยกว่า 10 ปี

มีนายหน้าและเจ้าหน้าที่บางคนของไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนเพื่อแลกกับผลประโยชน์ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่นิยมเดินทางเข้ามาไทยก่อนจะไปมาเลเซีย

มีคนของ “นายหน้า” เป็นคนขับเรือและช่างเครื่อง ปลายทางจะเป็นประเทศไทยหรือมาเลเซีย เมื่อถึงน่านน้ำไทยจะมีนายหน้าที่เป็นชาวบังกลาเทศหรือชาวพม่ารออยู่ในไทยเป็นผู้ประสานงานผ่านทางคนขับเรือและช่างเครื่องเมื่อกลุ่มโรฮิงญาเข้าฝั่งได้ก็ให้รอตามจุดต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเกาะแก่งต่างๆ ในทะเลอันดามัน

...

จะมีชาวโรฮิงญา จ.ระนองที่หลบหนีเข้ามาก่อนให้ความช่วยเหลือ หรือมีคนของนายหน้ามารับ แล้วใช้ผู้ค้าแรงงานในพื้นที่พาไปยังจุดหมายปลายทาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ จ.ภูเก็ต

ปัจจุบันสถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม กลุ่มขบวนการนี้จะเรียกค่าไถ่ชาวโรฮิงญา มีญาติในประเทศมาเลเซีย หากติดต่อได้จะมีการเรียกเงินเพื่อเป็นค่าไถ่ตัวก่อนที่จะส่งตัวออกไปยังประเทศมาเลเซีย

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ย้ำกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบไทย ถือเป็นคดีค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์-โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้ความสำคัญ สนใจอย่างมาก เพราะผลกระทบไทยใหญ่หลวงทั้ง UNSCR และสหภาพยุโรปมองว่า ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องสนับสนุนช่วยเหลือรับผลประโยชน์การค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ นายกรัฐมนตรีรู้ปัญหาที่เกิดมานานได้กำชับทุกหน่วยแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจับกุมผู้เกี่ยวข้องไม่มีละเว้น

...

“การสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาในเขตพื้นที่ สภ.หัวไทร จ.ระนอง ขยายผลแคมป์ที่พักของกลุ่มโรฮิงญาบนเทือกเขาแก้ว ติดฝั่งชายแดนไทย-มาเลเซีย ได้พยานหลักฐานศพผู้เสียชีวิตชาวโรฮิงญา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างสืบสวนขยายผลเพื่อขอหมายจับกุมระดับตัวการให้ยันลูกน้องที่เกี่ยวข้อง มีนักการเมืองท้องถิ่น เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรีมีนโยบายชัดเจนต้องการให้ขบวนการค้ามนุษย์หมดไปจากประเทศไทย ทำตรงไปตรงมา เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ของทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นย้ำว่าหากมีข้าราชการของรัฐหน่วยใดเข้าไปเกี่ยวข้องให้ดำเนินการเต็มที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจน้อมรับนโยบายเต็มที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พร้อมผู้บังคับบัญชาในพื้นที่เสนอรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องการช่วยเหลือสนับสนุน เรียกรับผลประโยชน์ ออกนอกพื้นที่มาปฏิบัติหน้าที่ประจำ ศปก.ตร.เพื่อรอผลการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน หากเห็นว่ามีความผิดจะย้ายออกนอกพื้นที่ ถ้ามีพยานหลักฐานดำเนินคดีทันทีเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างตำรวจคนอื่น”

เป็นแนวทางทำงาน พล.ต.อ.สมยศ ไม่มีปิดบังซ่อนปกป้องช่วยเหลือตำรวจที่ฝืนนโยบายค้ามนุษย์

“จะทำให้คำสั่ง 234/2558 มีความศักดิ์สิทธิ์ คดีสำคัญหรือคดีที่ก่อให้เกิดเสียหายอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่มีการจับกุมอะไรท้องที่รับผิดชอบ คดีใหญ่จับบ่อนกองปราบโดน การค้ามนุษย์ ตำรวจน้ำ ตำรวจ ปคม. ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองโดน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ จะเอาแบบแต่ก่อนไม่ได้ มีอะไรก็เล่นงานแต่ตำรวจท้องที่ไม่เป็นธรรม นโยบายรัฐบาลและบัญชานายกรัฐมนตรีต้องฟังและทำตาม ทั้งนี้ เพื่อทำให้ต่างชาติเป็นที่ประจักษ์ว่าไทยไม่ได้ส่งเสริมการค้ามนุษย์ ใช้แรงงานผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ แม้อดีตจะมีที่มาจะเป็นอย่างไรไม่ต้องสนใจ นายกรัฐมนตรีอยากให้ทุกหน่วยแก้ไขปัญหาจบให้ได้”

“ทีมข่าวอาชญากรรม” มองว่า โรฮิงญาเป็นอีกมุมมองหนึ่งของเพื่อนมนุษย์ที่ถูกกระทำ บางครั้งเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะมีช่วยเหลือ และมีการดำเนินการในฐานะบุคคลหลบหนีเข้าเมือง จะมีการผลักดันกลับออกไป แต่พม่าปฏิเสธที่จะรับกลับ โดยอ้างไม่ใช่พลเมือง จึงมีขบวนการค้ามนุษย์และนายหน้าค้าแรงงานไปรับกลับเข้ามาในเขตประเทศไทยกลับเข้าสู่วังวนเดิม

การไล่ต้อนไล่จับเป็นเรื่องปลายเหตุหาก UNSCR สหภาพยุโรป หรือกลุ่มเอ็นจีโอที่ชอบเรียกร้องสิทธิมนุษยชนคิดว่าการค้าชาวโรฮิงญาเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมปล่อยให้มีการค้าชาวโรฮิงญาข้ามประเทศมานานหลายสิบปี ไม่คิดพูดคุยกับประเทศที่เกี่ยวข้อง พม่า บังกลาเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อร่วมหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข

โดยเฉพาะภาพความชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องแบกรับภาระของปัญหาผู้หลบหนีลี้ภัยเข้าเมืองทางทะเล ทั้งที่ไม่ได้เป็นประเทศผู้ก่อปัญหาโรฮิงญา บางครั้งต้องช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ต่างจาก “ทาส” ด้วยความสงสาร เพียงแต่มีคนบางกลุ่มที่อาศัยความเดือดร้อนของชาวโรฮิงญาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

อย่ามองปัญหาหรือมอง “เหรียญด้านเดียว” เสมอไป เพราะภาพที่ปรากฏนั้นอาจมีอีกหลายมุมที่เรายังมองไม่เห็น ทั้งปัญหาด้านความมั่นคง หรืออีกหลายปัญหาเกี่ยวข้อง ในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐมีตั้งหลายหน่วยที่เกี่ยวข้อง อย่าโทษตำรวจหน่วยเดียว เพราะมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยอยู่ในขบวนการค้าชาวโรฮิงญา

ขึ้นอยู่กับว่า...ยอมรับกับมัน และแก้ไขอย่าให้เกิดอีก.

ทีมข่าวอาชญากรรม