ทางการสหรัฐฯ​ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและใช้มาตรการเคอร์ฟิวในเมืองบัลติมอร์แล้ว หลังเกิดจลาจลเดือด ทั้งปล้นร้านค้า และเผาทำลายรถตำรวจ ทรัพย์สินสาธารณะ แค้นหนุ่มผิวสีโดนตำรวจซ้อมจนเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานประเทศสหรัฐฯ ชักเกิดเหตุจลาจลรุนแรงต่อต้านตำรวจถี่ขึ้น โดยเมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายแลร์รีย์ โฮแกน ผู้ว่าการรัฐแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯ ถึงกับต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองบัลติมอร์ ซึ่งอยู่ในรัฐแมรีแลนด์ พร้อมกับระดมกำลังเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชาติ นับ 5,000 นาย เข้าควบคุมสถานการณ์ในเมืองบัลติมอร์ ท่ามกลางการเกิดเหตุจลาจลรุนแรง ประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความโกรธแค้น ทั้งปล้น และจุดไฟเผารถตำรวจ และทรัพย์สินสาธารณะในหลายพื้นที่ จนเกิดการปะทะกับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 15 นาย ขณะที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงโดนจับกุมแล้วราว 30 คน

โดยเหตุจลาจลในเมืองบัลติมอร์ เกิดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฝังศพ นายเฟรดดี เกรย์ หนุ่มอเมริกันผิวสี เชื้อชาติแอฟริกัน วัย 25 ปี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 19 เม.ย. จากการได้รับบาดเจ็บสาหัสที่กระดูกสันหลัง ระหว่างเขาถูกจับกุมในข้อหาพกมีด และโดนควบคุมตัวอยู่ในห้องขังของสำนักงานตำรวจ ตั้งแต่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา และขณะนี้ ทางการได้สั่งพักงานตำรวจ 6 นาย ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว

...

ด้าน นางสเตฟานี รอว์ลิงส์-เบล็ก นายกเทศมนตรีเมืองบัลติมอร์ กล่าวว่า ทางการได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อควบคุมสถานการณ์ในเมืองบัลติมอร์ ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่นับ 6.2 แสนคน ให้กลับคืนสู่ความสงบ โดยมีการประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิว ห้ามประชาชนออกนอกบ้านในยามวิกาล ตั้งแต่ 22.00-05.00 น. เป็นเวลา 1 สัปดาห์ รวมทั้งสั่งปิดโรงเรียนรัฐทุกแห่งในเมือง ตั้งแต่วันอังคารที่ 28 เม.ย.นี้ เป็นต้นไป

...

ทั้งนี้ เหตุจลาจลประท้วงตำรวจในสหรัฐฯ กระทำรุนแรงกับคนผิวสี ในเมืองบัลติมอร์ นับเป็นเหตุประท้วงล่าสุดต่อต้านการเหยียดผิวของ ตำรวจผิวขาวที่กระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุกับคนผิวสีในประเทศ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ได้เกิดเหตุจลาจลรุนแรงในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐลุยเซียนา เมื่อปีก่อน หลังไมเคิล บราวน์ หนุ่มผิวสี ถูกตำรวจยิงจนเสียชีวิตทั้งที่เขาไม่มีอาวุธ และคณะลูกขุนยังไม่สั่งฟ้องดำเนินคดีกับตำรวจนายดังกล่าว

...