ท่ามกลางเศรษฐกิจตกสะเก็ด ยอดส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ติดลบหนักถึง 6.1% สองเดือนแรกปีนี้ส่งออกติดลบไปแล้ว 4.8% อนาคตยังไม่รู้หมู่หรือจ่า ไทยมีปัญหาที่เสี่ยงต่อการถูก “แซงก์ชั่นทางการค้า” หลายเรื่อง ตอนนี้สายการบิน 4 สายรวมทั้ง การบินไทย ก็เพิ่งถูก องค์การบินพลเรือนญี่ปุ่น สั่งห้ามเพิ่มหรือเปลี่ยนเส้นทางบิน เพราะพบข้อบกพร่องเรื่องความปลอดภัยที่ กรมการบินพลเรือน ละเลยมานาน

การเก็บภาษีในประเทศต่ำกว่าเป้า สะท้อนถึงกำลังซื้อและเศรษฐกิจไทยที่กำลังถดถอยอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือน รัฐบาลบิ๊กตู่ จะยังไม่รู้สึกตัวเท่าไร

วันก่อนมีข่าว กองทัพเรือ ของ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ แม่ทัพเรือ กำลังขอซื้อ “เรือดำน้ำ” สองลำ วงเงิน 36,000 ล้านบาท โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม ให้การสนับสนุนว่า ไทยต้องมีเรือดำน้ำ เพราะมีความจำเป็น ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ก็มีหมดแล้ว กองทัพเรือจะใช้งบประมาณของตนเองในการจัดซื้อ โดยผูกพันงบประมาณ 4–5 ปี

ก็เป็นเหตุผลที่แปลก เพราะภูมิศาสตร์ทางทะเลของไทยแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านโดยสิ้นเชิง พื้นที่ทางทะเลของไทยส่วนใหญ่จะอยู่ใน “อ่าวไทย” ที่มี ความลึกเพียง 80 เมตร เท่านั้น ด้านฝั่งทะเลอันดามัน ก็มีเพียง กระบี่ พังงา ภูเก็ต ไม่กี่จังหวัด ออกไปก็เป็นทะเลลึก มีประเทศอินเดียอยู่ไกลโพ้น ไม่ใช่ศัตรูของไทย

คำถามก็คือ กองทัพเรือ จะซื้อ เรือดำน้ำ ไปรบกับใคร?

ถ้าบอกว่า ซื้อมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย ก็คงจะแปลกอีก เพราะ น้ำทะเลในอ่าวไทยมีความลึกเพียง 80 กว่าเมตรเท่านั้น ถือว่าตื้นมาก เหมาะสำหรับ “เรือดำน้ำท่องเที่ยว” แต่ไม่เหมาะกับเรือดำน้ำที่เป็นเรือรบ ระดับน้ำแค่นี้ ต่อให้เรือดำน้ำดำลงไปจอดที่ก้นทะเลอ่าวไทย เครื่องบินข้าศึกก็มองเห็นหมด ทิ้งระเบิดใส่ได้สบาย

...

เรือดำน้ำจึงไม่เหมาะกับอ่าวไทย ดำได้ไม่กี่สิบเมตร ไม่สามารถรับมือกับข้าศึกบนฟ้าได้ เรือดำน้ำที่ไทยจะซื้อก็ติดขีปนาวุธไม่ได้เสียด้วย

ถ้าจะเอาเรือดำน้ำไปไว้ที่ ทะเลอันดามัน ก็ไม่รู้จะไปรบกับใครอีก เพราะไม่มีข้าศึก ดูจากแผนที่ภูเก็ต พังงาออกไปในทะเล ก็มีแต่ อินโดนีเซีย เพื่อนบ้านอาเซียนที่กำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียวในสิ้นปีนี้ ไกลออกไปก็เป็น อินเดีย ที่เป็นมิตรกับไทย

จึงยังมองไม่เห็นเหตุผลที่กองทัพเรือจะซื้อเรือดำน้ำไปปกป้องอธิปไตยที่ไหน

เรือดำน้ำ ไม่ใช่เรือธรรมดา เป็นเรือที่มีราคาแพงมาก เพราะต้องใช้เทคโนโลยีสูงในการสร้าง เพื่อรองรับแรงกดดันใต้น้ำมหาศาล อย่าง เรือดำน้ำรุ่นเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ ลำหนึ่งตกประมาณ 2,600 ล้านเหรียญ เกือบ 90,000 ล้านบาท แต่เรือดำน้ำสองลำที่มีข่าวว่า กองทัพเรือ จะไปซื้อมาจาก ประเทศจีน นั้น ราคาลำละประมาณ 18,000 ล้านบาท สองลำก็ 36,000 ล้านบาท ราคาถูกเพราะใช้เครื่องยนต์ดีเซล ไปดำที่ไหนก็ถูกจับได้ง่าย เครื่องยนต์เสียงดัง แต่ก็ถือว่าแพงสำหรับเศรษฐกิจไทยยามนี้

แม้จะเพิ่งมีข่าวว่ากองทัพเรือจะซื้อเรือดำน้ำ แต่ก็มีข่าวว่า กองทัพเรือได้สร้างฐานทัพเรือดำน้ำและศูนย์ฝึกมูลค่า 540 ล้านบาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่จังหวัดชลบุรี

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 กองทัพเรือก็พยายามจะซื้อเรือดำน้ำมาแล้ว โดยจะซื้อเรือดำน้ำเก่าจากเยอรมัน 6 ลำ มูลค่า 7,700 ล้านบาท แต่ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนใจจะไปซื้อเรือดำน้ำขนาดใหญ่ขึ้นจากเกาหลีใต้ 2 ลำ ก็ไม่สำเร็จอีก

ก็เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องคิดให้รอบคอบ

เราจะซื้อเรือดำน้ำไปรบกับใคร เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยยามนี้หรือไม่ เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในขาลง การส่งออกก็ตกต่ำ ภาษีก็เก็บไม่ได้ตามเป้า ราคาพืชผลก็ไม่ดี เกษตรกรเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนรัฐบาลขู่จะขึ้นภาษี แต่กลับเอาเงินภาษี 36,000 ล้านบาท ไปซื้อเรือดำน้ำ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อนบ้านก็มี ต้องคิดให้รอบคอบครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”