คนเมืองชล ทึ่ง!!พระธุดงค์ ปักกลดปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานในสุสานศพไร้ญาติ ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวที่สุดในภาคตะวันออก พระคุณเจ้า เผยไม่ใช่การอุตริ ฝึกวิชาไสยเวทย์อาคม แต่ต้องการพิสูจน์ โลกหลังความตายมีจริงหรือไม่ พร้อมฉันมื้อเดียว ไม่รับปัจจัยใดๆ จากญาติโยม...

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางไปตรวจสอบในป่าช้าหลุมฝังศพไร้ญาติ สุสานมาบฟักทอง มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ จ.ชลบุรี หลังชาวบ้านร่ำลือว่ามีพระธุดงค์รูปหนึ่ง มาปักกลดปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน อยู่เพียงลำพังนานนับเดือนในสุสาน ใช้ชีวิตปฏิบัติกิจสงฆ์ โดยไม่เกรงกลัวภูตผีวิญญาณ


สำหรับสุสานมาบฟักทอง หรือสถานที่ที่ถูกขนานนามว่า เป็นสุสานศพไร้ญาติที่เฮี้ยนที่สุดในภาคตะวันออก หลังตะวันตกดินไปแล้ว ไม่มีผู้คนกล้าย่างกายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เพราะเชื่อกันว่ามีดวงวิญญาณไร้ญาติสถิตอยู่นับพันดวง แม้เป็นช่วงเช้า แต่บรรยากาศก็ยังวังเวงชวนขนหัวลุก โดยพบพระธุดงค์รูปนี้ปักกลดอยู่บนหลุมฝังศพไร้ญาติ ที่ด้านใต้แผ่นปูนปิดหลุม มีโครงกระดูกศพไร้ญาตินับร้อยชีวิต

...


ด้านพระครูปลัด ชนินท์พัฒณ์ แก้วกัลยา อายุ 35 ปี ซึ่งมาจากพื้นที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ จ.กรุงเทพมหานคร สังกัด วัดกันมาตุยาราม กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้บวชจำพรรษารวม 12 พรรษา และเดินสายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานมาโดยตลอด กระทั่ง หลังรับกฐินออกพรรษาช่วงเดือนตุลาคม ปี 57 ได้ตัดสินใจออกแสวงธรรม เดินธุดงค์มาปักกลดยังสุสานแห่งนี้ ไม่ใช่เป็นการอุตริ ฝึกวิชาไสยเวทย์อาคม หรือนำพระธรรมคำสอนมาใช้ในทางที่ผิด แต่เพียงต้องการนำกุศลบุญที่ได้สร้างสมมา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่แด่ดวงวิญญาณไร้ญาตินับพันดวง ที่ยังไม่ได้ไปเวียนว่ายตายเกิด ยังสถิตอยู่ยังสุสานแห่งนี้ ได้รับบุญกุศลเพื่อปลดกรรม และได้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ

นอกจากนี้ ยังต้องการพิสูจน์ว่า ดวงวิญญาณ หรือโลกหลังความตายมีอยู่จริงหรือไม่ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริง ตามหลักคำสอบพระพุทธศาสนา ที่มีความเชื่อว่า ผู้ทำดีย่อมได้ขึ้นสวรรค์ ส่วนผู้ก่อกรรมต้องตกนรก


" การมาธุดงค์ครั้งนี้ ได้มีการแจ้งเป็นหนังสือขออนุญาตต่อคณะกรรมการมูลนิธิสว่างฯ เพื่อปักกลดจำศีลอยู่ในสุสาน ซึ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 4 เดือน อาตมาไม่เคยออกไปขอรับบิณฑบาต เรี่ยไรเงิน หรือรับกิจนิมนต์ จากญาติโยมแม้เพียงครั้งเดียว มีเพียงชาวบ้านที่ทราบข่าว ก็จะนำอาหารหวานคาวมาถวาย ให้ได้ฉันภัตตาหารเพล ในช่วงมื้อเที่ยงมื้อเดียวเท่านั้น ส่วนผู้ที่ถวายปัจจัยก็จะส่งมอบคืน เพราะอาตมาคิดว่า การมาครั้งนี้ไม่ได้เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ แต่เป็นการแสวงบุญต่อสรรพสัตว์ โดยยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือหม่นหมอง ต่อพระพุทธศาสนา"