ขายซีดีเจอคุกซ้ำรอย ยายวัย 75 ร่ำไห้เปิดอก อับจนหนทางช่วยลูก วอนผู้ใจบุญรินน้ำใจ ด้านนักกฎหมาย เร่งชงทางออก ปรับแก้บทลงโทษให้เหมาะกับพฤติกรรมกระทำผิด...
ภายหลังจากเมื่อวันที่ 26 ม.ค.58 ที่ผ่านมา บรรดาสื่อมวลชนที่เฝ้ารอทำข่าวที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ได้พบเห็นภาพสุดสะเทือนใจ คือ นางนิภา เทพธีระเทียนชัย อายุ 75 ปี ได้เดินทางมาศาล เพื่อขอคัดคำพิพากษา และหักนับวันกักขังแทนค่าปรับ เพื่อจะรวบรวมเงินมาชำระค่าปรับให้กับบุตรชาย คือ นายปิยะพงษ์ เทพธีระเทียนชัย จำเลยในคดี ความผิดพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 38 (1) 79 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 (2) ซึ่งถูกศาลพิพากษาจำคุกรวม 2 ปี 8 เดือน และปรับ 280,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษคงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 140,000 บาท ซึ่งล่าสุดได้ถูกจำคุกมาเป็นระยะเวลา 1 ปีแล้ว แต่เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ทำให้ขณะขึ้นบันได้ศาลที่สูงชัน ต้องมีคนคอยช่วยพยุงอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความสงสารขึ้นอย่างจับจิตจับใจ ตามที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้เสนอไปแล้วนั้น ซึ่งเบื้องต้น คดีดังกล่าว มีความใกล้เคียงกับคดีก่อนหน้านี้ ที่ศาลฎีกาพิพากษาสั่งปรับ นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา ลูกจ้างชั่วคราวเก็บขยะประจำเขตสะพานสูง เป็นเงินจำนวน 133,400 บาท จากกรณีนำแผ่นซีดีหนังและเพลงเก่ามาขายโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งต่อมาปรากฏว่า จำเลยไม่สามารถนำเงินมาชำระค่าปรับได้ตามจำนวน จึงต้องกักขังแทนค่าปรับ ต่อมามีพลเมืองดีช่วยเหลือชำระค่าปรับให้ จึงทำให้ นายสุรัตน์ ได้รับการปล่อยตัวในที่สุด
ยายหมดปัญญาแล้วลูกเอ๊ย คงทำได้แค่ไปเยี่ยมเค้าที่คุก เดือน 2 เดือนครั้ง
ล่าสุด คุณยายนิภา ได้เปิดใจกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ตลอดเวลาว่า ตั้งแต่กลับจากศาล ตนเองก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เพราะต้องเดินทางไปทั้งที่ศาลและเรือนจำ รวมถึงไปพบบรรดาญาติๆ จนเกิดความเครียดนอนไม่หลับ ด้วยเกรงว่าลูกชาย ซึ่งไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ 140,000 บาท ต้องถูกกักขังเพิ่มเติมแทนค่าปรับ อีกถึงประมาณ 700 วันนั้น คงจะต้องติดคุกไปอีกนาน เนื่องจากจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะญาติของตนเอง ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดตัวจริง แต่ได้หลอกลวงลูกชาย ให้มารับผิดแทน โดยอ้างว่าจะหาเงินจ่ายค่าปรับให้นั้น ปัจจุบันก็หนีหายไป และไม่ยินดียินร้ายที่จะมาให้การช่วยเหลือ อ้างเพียงแต่ว่าเงินค่าปรับมหาศาลขนาดนี้ คงไม่มีปัญญาจะหามาจ่ายให้ได้หรอก แต่หากเป็นเงิน 2 - 3 พันบาท ถึงจะมีเงินมาจ่ายให้ได้
...
แม่ไม่ต้องมาหรอก แม่แก่แล้ว ผมเป็นห่วง
ขณะที่ตัว นายปิยะพงษ์ บุตรชายนั้น ก็ได้แต่คอยเฝ้าถามตนเองว่า ญาติคนดังกล่าว จะหาเงินมาจ่ายค่าปรับให้ได้หรือไม่ เพราะเป็นห่วงแม่ ซึ่งมีอายุมากแล้ว และคอยกำชับผ่านกรงขังเวลาที่ไปเยี่ยมอยู่เสมอว่า "แม่ ไม่ต้องมาเยี่ยมหรอก แม่แก่แล้ว เดินไม่ค่อยไหว ผมเป็นห่วง"
ความรู้น้อย แต่เป็นคนซื่อ ทำทุกอย่างหาเงินให้แม่
ยายนิภา กล่าวเพิ่มเติมกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ อีกว่า ตนเองเป็นคนความรู้น้อย ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องไปติดต่อใคร ถึงจะสามารถช่วยเหลือบุตรชายได้ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้จากหัวใจของแม่ก็คือ ลูกชายของตนเองเป็นคนดี เป็นคนซื่อ ที่ผ่านมาก็ตั้งใจทำมาหากิน เพื่อหาเงินมาดูแลตนเองตลอด สมัยก่อนที่ทำงานอยู่ร้านหมูกระทะนั้น ก็ตั้งใจทำงาน แถมเคยเก็บกระเป๋าสตางค์ลูกค้าที่มีเงินอยู่หลายพันบาทส่งคืนเจ้าของ จนได้รับคำชมเชยจากทั้งเจ้าของร้านและลูกค้ามาแล้ว และแม้ต่อมาร้านหมูกระทะที่ลูกทำอยู่จะปิดตัวลง ลูกชายก็ไม่เคยย่อท้อ ออกหางานทำ รับจ้างเฝ้ารถย่านคลองหลอด ส่งเงินมาให้จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร ครั้งละ 2,000 บาท มั่ง 3,000 บาท มั่ง
แม่เฒ่าผู้รักลูก กล่าวอีกว่า ปัจจุบันตนเองก็ได้อาศัยลูกชายคนนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ เพราะอายุมากแล้ว ทำงานก็ไม่ค่อยจะไหว และนอกจากลูกชายจะคอยดูแลแล้ว ก็ได้อาศัยคุณครูจากโรงเรียนอินทรอำพัน ที่สงสาร มาจ้างครั้งละ 200 บาท ไปช่วยบีบนวดบ้างเป็นครั้งคราว รวมทั้งช่วยเก็บขวดพลาสติกทิ้งแล้วจากที่โรงเรียนมาให้เพื่อนำไปขายเลี้ยงชีวิต รวมทั้งยังได้เพื่อนบ้านและวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้เคียง คอยช่วยส่งข้าวส่งน้ำมาให้กินในบางวันด้วย
"หากไม่มีใครหยิบยื่นน้ำใจมาช่วยเหลือลูกชาย ยายก็คงต้องให้ลูกติดคุกไป เพราะยายเองก็หมดปัญญา ไม่รู้จะไปช่วยเหลืออย่างไรได้ ก็คงได้แต่ไปเยี่ยมเค้า เดือน 2 เดือนครั้ง เพราะยายเองก็เดินไม่ค่อยจะไหว บางทียายก็ทำใจว่า ลูกเราไม่ดีเอง ไปเชื่อคนอื่นเค้า จะเป็นอย่างไรก็ต้องให้เป็นไป" ยายนิภา สะอื้นไห้กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์
...
เช็กคืบหน้าคดี ไม่เคยโดนโทษร้ายแรง
ส่วนในเรื่องของคดีนั้น เมื่อ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ฐิรวิทย์ บุษบัน พงส.ผทค. สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบคดีดังกล่าว เกิดขึ้นในพื้นที่ สน.ชนะสงคราม จริง ในส่วนของความคืบหน้านั้น ทราบเพียงว่า กำลังอยู่ระหว่างการสืบพยานในชั้นศาล เนื้องจากผู้ต้องหาต่อสู้คดี ขณะที่ในส่วนของบันทึกการจับกุมนั้น ระบุว่า ผู้ต้องหาถูกจับกุมได้พร้อมของกลาง คือ ซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ และซีดีลามกอนาจาร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น คงไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นคดีที่เกิดขึ้นนานแล้ว นอกจากนี้ เมื่อทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ สอบถามไปยัง สน.สำราญราษฎร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียง ยังได้แจ้งว่า นายปิยะพงษ์ เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ จากการทำหน้าที่ดูแลการจอดรถย่านคลองหลอดด้วย แต่ถือเป็นคดีเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือเป็นการทำผิดร้ายแรงอะไร
โทษแรงหวังปราบละเมิดลิขสิทธิ์ ชงแก้บทลงโทษให้เหมาะพฤติกรรมกระทำผิด
ด้านข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใดกฎหมายดังกล่าว จึงมีบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรงนั้น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามไปยัง นายสรวิศ ลิมปรังษี รองโฆษกศาลยุติธรรม ซึ่งได้รับคำตอบว่า สาเหตุที่กฎหมายดังกล่าวมีบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง โดยโทษปรับขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาท เนื่องจากต้องการปราบปรามปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง อีกทั้งการที่มีการเขียนกฎหมายจำกัดการใช้ดุลยพินิจของศาล ในการลงโทษผู้ต้องหา โดยเฉพาะโทษปรับโดยไม่ให้มีการรอการลงโทษปรับนั้น จึงเป็นสาเหตุที่ผู้ต้องหาในคดีนี้ถูกลงโทษโดยทันที ซึ่งทำให้ทั้งกรณี นายปิยะพงษ์ และพนักงานเก็บขยะ กทม. เมื่อไม่มีเงินมาจ่ายค่าปรับ จึงได้ถูกกักขังแทนค่าปรับ
...
อย่างไรก็ดี เท่าที่ทราบในขณะนี้ได้มีหลายองค์กร เสนอขอให้มีการปรับแก้โทษของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของศาลยุติธรรมเอง ได้ส่งข้อเสนอให้มีการปรับแก้ประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้ศาลมีดุลยพินิจการใช้มาตรการอื่นแทนการกักขังแทนค่าปรับ ตามบทลงโทษของกฎหมายดังกล่าว โดยให้มีบทลงโทษอื่นๆ เช่น การทำงานเพื่อบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดมีพฤติกรรมที่ไม่เข้าข่ายกระทำความผิดรุนแรงนักไปแล้ว.