มีวิธีดีๆ ให้ทำตามอย่างอยู่แยะ มีคนไทยเก่งๆ ในวงการหนังอีกเยอะ แต่ทำไมภาพรวมหนังไทย ถึงแค่ดูเหมือนจะดี ยังไม่ฮิตเปรี้ยงปร้าง ไม่ฮอตต่อเนื่อง ไม่เป็นกระแสหลักยาวๆ เหมือนหนังจากประเทศอื่นๆ บ้าง

คุณสง่า ฉัตรชัยรุ่งเรือง ประธานบริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม จำกัด ผู้สร้างหนังคุณภาพเรื่อง ตุ๊กแกรักแป้งมาก และล่าสุดหนังเรื่อง ซิงเกิลเลดี้ เพราะเคยมีแฟน มุ่งมั่นทำงานหนังที่รักต่อไป ล่าสุดได้ร่วมทุนกับบริษัททำหนังชั้นนำของเกาหลีใต้ ซีเจ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เพื่อร่วมกันผลิตหนังฟอร์มดีเรื่อง แตะขอบฟ้า ฉลุย 2015 โดยตั้งงบลงทุนไว้กว่า 60 ล้านบาท

วงการไทยหนังเมื่อไหร่จะเจริญ พอจะเทียบเท่าเกาหลี? "มันมีหวัง แต่ทุกส่วนจะต้องมีความร่วมมือมาก คือเกาหลีหลักๆ เขาก็ไม่ได้มาขนาดนี้ ถ้าภาครัฐไม่ได้ช่วยเขาขนาดนั้น" ให้น้ำหนักของภาครัฐ ที่เข้ามาช่วยดันหนังเกาหลีสักกี่เปอร์เซ็นต์? "ถ้าในส่วนของรัฐบาลเกาหลี เขาก็ช่วยๆ กันเกิน 50% คือเขาเริ่มจากจะทำหนังของประเทศของเขาอย่างไรให้โต เขาก็มีกฎว่า ควบคุมหนังเมืองนอกก่อน คือให้เข้ามาฉายในปริมาณเท่าไหร่ สมมติว่าหนังเกาหลี 60% หนังต่างประเทศ 40% พอวางให้หนังเกาหลีออกฉายในประเทศที่ 60% แล้วทำยังไงให้ได้ 60% เขาก็เริ่มสนับสนุน เอ้า ใครทำหนังอย่างนี้ มาเอาเงินช่วยจากรัฐบาล"

รัฐบาลไทยชุดนี้ ไม่ได้มองเห็นตรงนี้ ไม่ได้ทำตรงนี้? ​"ไม่มี หนึ่งไม่มี (นโยบาย) สองคือกระทั่งไม่มีคนที่จะมาทำ คือเกาหลีจะเข้ามาทำงานหนังในไทย ก็ต้องหาเหตุผลว่าทางรัฐจะให้อะไรได้บ้าง มีโน่น นั่น นี่ ให้หรือเปล่า เขาก็มีเหตุผลจะบอก แต่เราไม่มี (หัวเราะ) โอววว เราทำหนังเหนื่อยมากกว่าคนอื่นหลายเท่า" น่าจะมีหน่วยงานที่สนับสนุนหนังไทยโดยเฉพาะ ที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เพราะถ้าเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ก็จะยุบเปลี่ยนไปตามรัฐบาล? "ใช่!!! เขาจะได้สามารถเคาะเรื่องต่างๆ ได้ตัวเองได้ คิดง่ายๆ เอาภาษีจากตั๋วหนังมาสัก 10% เอามาตั้งตรงนี้ขึ้นได้ก็พัฒนาแล้วครับ ซึ่งต้องมีคนเข้าใจในเรื่องนี้แล้วมาทำ" 

...

ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ในการส่งเสริมหนังไทย? "ไม่แน่ใจเหมือนกัน (ยิ้ม)" บอกตรงๆ ได้เลยค่ะ จะได้ช่วยกันกระตุ้นให้ฝั่งรัฐบาล หันมาส่งเสริมหนังไทยอย่างจริงจังต่อเนื่องกว่านี้? "ไม่แน่ใจว่าเข้าใจมั้ย (ยิ้ม) ตัวสมาพันธ์หนังในทุกยุคทุกสมัยก็ตะโกนเข้าไป บอกเข้าไป แต่ก็ไม่เคยได้ถูกทำจนประสบความสำเร็จสักที (ยิ้ม)" ถ้ามีหน่วยงานที่ส่งเสริมหนังไทยโดยเฉพาะที่เป็นอิสระ ก็จะเป็นอีกแรงหนึ่งในการพัฒนาหนังไทย? "โอ๊ยยยย!!! หนังไทยจะขยายได้เร็วเลยครับ"

จบจากโปรเจกต์เรื่อง แตะขอบฟ้า ฉลุย 2015 จะมีหนังที่ร่วมทุนกับเกาหลี อีกหรือไม่? "กำลังส่งบทกันมาอยู่ หลายร่างเลย 3-4 ร่างแล้วครับ กำลังคุยกันอยู่ หนังเวลาจะคุยกันต้องใช้เวลาพอสมควร ต้องรอบิ๊กไอเดียก่อน ต้องรอสตอรี่ว่าน่าสนใจมั้ย ถ้าไม่น่าสนใจก็จะข้ามไปเลย ถ้าน่าสนใจก็จะเอาไปพัฒนาต่อ ก็มีคุยอยู่สองสามเรื่อง น่าจะนำมารีบูตได้นะ ปรับให้เข้ากับยุคสมัยนี้ได้" กับทางจีน ก็ได้คุยๆ เอาไว้แล้ว? "ก็มีคุยอยู่แล้วครับ รอสรุปกันอยู่" จีนเป็นตลาดหนังที่ใหญ่? "ครับ" แล้วทางอินเดียได้คุยๆ เอาไว้ด้วย? "อินเดียยังครับ เพราะอินเดียวิธีทำงานยากกว่า"

ความเป็นไทย ที่จะนำไปใส่ในหนัง? "อย่างเรื่องแตะขอบฟ้า ที่ไปได้ทั่วโลกคือแรงบันดาลใจ ถ้าคุณฝันแล้วคุณต้องทำ ฝันอย่างเดียวไม่ได้ อย่างในเรื่องเด็กไทยสองคนมันก็บ้าพอ ที่จะบินไปเลยโดยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า ความเสี่ยงแค่ไหนก็พร้อมจะเสี่ยง ความฝันของคนบางทีมันสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่คุณต้องสู้ไป จะเรียนรู้อยู่กับความไม่สำเร็จอย่างไร และคุณต้องก็ต้องมีความสุขอยู่ทุกวัน อ๊ะ ก็มีความสุขได้ไม่เดือดร้อนขนาดนั้น ถ้าสู้ไปเรื่อยๆ มันมีโอกาส แต่ถ้าไม่ทำเลยมันไม่สำเร็จ เพราะคุณไม่เคยจะทำ"

นิชคุณมาเล่นหนังเรื่องนี้ ค่าตัวทะลุ 10 ล้าน? "โอ๊ย ไม่จริงๆ (ยิ้ม) ไม่เยอะเลยครับ ก็เหมาะสม ไม่ถึงห้าล้านครับ ไม่ถึงๆ" จะได้ส่วนแบ่งจากยอดรายได้อีก? "ไม่มีๆ (ยิ้ม) แต่เราก็คุยๆ กันว่าเรื่องหน้านะ เราจะมาเล่นด้วยกันอีก เขาก็บอกว่าได้ๆ มาเล่นเต็มๆ เลย เดี๋ยวหาเวลากัน" นิชคุณมาเล่นเป็นบทรับเชิญ ไม่ได้เล่นเป็นตัวหลัก? "ก็เล่นเยอะเหมือนกันนะคะ เล่นประมาณ 30% ของเรื่องได้ หัว กลาง ท้าย ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก เขายินดีจะทำอยู่แล้วเพราะเขาเป็นคนไทย เขาก็อยากจะทำให้คนไทยได้ดู ผมว่าส่วนใหญ่ที่มันไม่ลงตัว เป็นเรื่องเวลาของน้องมากกว่า เพราะคิวของน้องจะเยอะ เพราะฉะนั้นเราก็แก้ด้วยการน้องไม่ต้องมา พี่ไปเองง่ายกว่า (หัวเราะ) ว่างกี่โมง เราก็จะไปตามถ่ายทำ ก็จะง่ายกว่า เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ก็จะรู้ว่า เฮ้ย นิชคุณ ทำแบบนี้ได้เลยเหรอ คือไม่มีห่วงหล่อเลย เล่นแบบสุด (หัวเราะ) ดูแล้วน่ารักมาก" ตั้งเป้าหนังไว้ที่เกินร้อยล้าน? "ครับ เราก็อยากจะไปถึงตรงนั้น หรือ 80 ล้านขึ้น ให้เป็นสแตนดาร์ดของเราที่อยากจะวางไว้"

ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์หนังรุ่นใหญ่ คุณอังเคิล อดิเรก วัฏลีลา ร่ายยาวเหยียด ถึงสาเหตุของหนังไทยไม่โตจริงๆ จังๆ สักที!!! คุณอังเคิลพูดถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหนังไทย ได้อย่างน่าคิดมากๆ "คือไม่ได้ช่วย แล้วยังมาตัดทอนกันเอง เช่น มาเก็บภาษีซ้ำซ้อนอีก ประเด็นนี้เป็นเรื่องเก่าๆ นะไม่อยากจะพูดแล้ว ช่างหัวมันไป ก็ทำๆ กันไปเอง เรื่องหนังมันสำคัญมากๆ มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง อย่างกีฬาหลายอย่าง พอไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศก็มีเงินรางวัล มีโน่น นั่น นี่ ให้เยอะแยะ แต่ทำไมหนังไทยพอไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศกลับไม่มีอะไรให้เขาเลย หนังมันผิดตรงไหน อย่างหนังนักศึกษาดีๆ ที่ไปคว้ารางวัลมา ก็ไม่มีอะไรให้เขาเลย หรืออย่าง ต้อม เป็นเอก ที่เขาเคยทำหนังแล้วได้รางวัล ก็ไม่มีอะไรให้เขา มีแต่จะเก็บภาษีซ้ำซ้อนอีก ไปถาม ต้อม เป็นเอก ได้เลย คนทำหนังไทยเรามีฝีมือ แต่ไม่มีพื้นที่ต่อเนื่อง"

"ถ้าคิดจะทำกันจริงๆ หลักการมันก็มีอยู่แล้วในหลายๆ ประเทศ ไปขอดูสิ (เสียงดัง) เช่น จีน, อินเดีย เขาก็จำกัดหนังต่างประเทศที่จะมาเข้าฉาย แล้วก็ดูแลอุตสาหกรรมหนังในชาติตัวเองจนเจริญเติบโตได้ หนังจากต่างประเทศก็จะเก็บภาษีต่างจากหนังของชาติตัวเอง สนับสนุนหนังประเทศตัวเองในทุกๆ ทาง แต่บ้านเราดูสิ หนังจากต่างประเทศเข้ามาปีหนึ่งๆ มากมาย หรืออย่างออสเตรเลีย เขาก็มีทุนให้ทำหนัง 80% จากสามหน่วยงาน คือไม่ต้องไปเสนอค่ายใหญ่ๆ คนทำหนังเป็นเจ้าของเองได้ ไม่ต้องมีเงินเยอะก็ทำได้ เพราะมีเงินทุนสนับสนุน มีอิสระในการทำ จึงมีหนังที่หลากหลายออกมา ไม่เหมือนบ้านเราก็จะมีหนังจากไม่กี่ค่ายที่ออกมาฉายให้ดู อย่างผมเคยไปถ่ายหนัง (ฮาชิมะ โปรเจกต์) ที่ญี่ปุ่น ทุกอย่างฟรีหมด อาหารการกิน รถฟรี โรงแรมฟรีหมด ฟรีอย่างดีด้วย โอ้โห ให้ฟรีหมด เกิดมาก็เพิ่งกินดีอยู่ดีแบบฟรีๆ และดี เขาช่วยเหลือประสานงานให้เราทุกอย่าง บางทีก็จะมีงบให้ด้วย นี่ขนาดงบจังหวัดนะ เราเข้ามาถ่ายทำเขาก็ดีใจ คือเขาสนับสนุนคนทำหนัง

...

"หนังเป็นศิลปะ ดูอย่างหนังเรื่อง ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ Lost in Thailand ที่เข้ามาถ่ายทำในเมืองไทยสิ หลังจากหนังฉายออกไป นักท่องเที่ยวชาวจีนแห่มาเมืองไทยกันมากมาย เห็นๆ กันอยู่ สร้างรายได้มากกว่าหมื่นล้าน สิ่งที่จะตามมาจากหนังมันสารพัด ทุกๆ อย่างเลย ดูง่ายๆ อย่างเกาหลี พอแดจังกึมดัง ทุกอย่างก็กลายเป็นเกาหลีไปหมด" ควรจะมีหน่วยงานสำหรับหนังโดยเฉพาะ ที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เพราะถ้าเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ หน่วยงานนี้ก็จะยังทำงานได้อย่างต่อเนื่อง? "ใช่ๆ" รัฐบาลชุดนี้ และรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ไม่เข้าใจ ไม่ช่วยเหลือหนังไทยเท่าที่ควร? "(ตอบไวมากๆ) เหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าใครจะยุ่งวุ่นวายมากกว่ากัน เขามองไม่เห็นไง เอาคนไม่รู้เรื่องมาดูแล งบประมาณเงินทองก็เลยรั่วไหล เงินไม่ได้ถูกนำมาใช้งานจริงๆ ไม่ได้เกิดผลอย่างต่อเนื่อง"

หลังจากนั้น คุณอังเคิล ได้เปิดเผยถึงการทำงาน เป็นโปรดิวเซอร์หนังใหม่เรื่อง แตะขอบฟ้า ฉลุย 2015 ที่นำโครงเรื่องมาจากหนังเก่า "เราปรับเพื่อให้เข้ากับยุคนี้ การที่เราไปถ่ายที่เกาหลี 70% แล้วมีนิชคุณเล่น ยังไงก็ไม่เหมือนเดิมแน่ มันไม่ใช่รีเมคนะ มันไปทางรีบูตกับรีไซเคิลเลย คือเอาสิ่งที่ดีไว้ เอาสิ่งที่เป็นข้อบกพร่องต่างๆ ออกไป แล้วเราก็ปรับให้มันมีรูปลักษณ์ใหม่ออกมา แต่หัวใจดวงเดิม" หนังเรื่องสอง ก็เตรียมๆ เอาไว้แล้ว? "ไม่หรอกๆ เอาเรื่องนี้ให้รอดก่อน ไม่รู้จะไปถึงไหน" ตั้งเป้าว่าจะโกยรายได้ให้เยอะๆ? "ก็เอาให้ขึ้นร้อยล้านไปก่อน ก็อยากให้จะมีตัวเลขใหม่ๆ กับวงการหนังไทย จริงๆ ตลาดหนังไทยไม่ได้มีอยู่แค่เท่านี้ มันมีอยู่ทั่วเอเชียเลย ด้วยค่ายซีเจ CJ เขามีโรงหนังอยู่ทุกที่ เยอะมาก"

ข้อจำกัดของการร่วมงานกับเกาหลี? "เขาบอกว่าทำไปเลย ทำแบบที่คนไทยดูนั่นแหละ อย่างนิชคุณเขาไม่ได้ดังเฉพาะในเกาหลีนะ ไปถึงจีนเอเชียเลยบูมมาก คนรู้จักหมด หนังเกาหลีที่ทำเงินก็แบบนี้แหละ ตลกๆ สนุกๆ แต่มันมีอะไรให้คิดอยู่ข้างในอยู่แล้ว" ตอนนี้พี่อังเคิล ทำหนังอย่างเดียว? "ใช่ๆ หนังอย่างเดียวเลย ไม่ทำอย่างอื่นเลยชีวิตนี้ ทำเป็นอยู่อย่างเดียวครับ ทำอย่างอื่นไม่เป็นครับ (ยิ้ม)"

...

หนึ่ง สุชาติ มัฆวิมาลย์ ผู้กำกับหนัง แตะขอบฟ้า ฉลุย 2015 เล่าเสริมถึงหนัง แตะขอบฟ้า ฉลุย 2015 "เป็นเรื่องเด็กวัยรุ่นที่มีความฝัน แล้วเขามีเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องไปผจญภัยที่เกาหลี ประมาณนั้น" ตามหาความฝันไปเรื่อย? "ใช่ครับ ซึ่งเนื้อหาต้องไปดูเอง" ร่วมงานกับนิชคุณ ยาก-ง่าย-เยอะ หรือไม่? "ไม่เยอะครับ ง่ายมากเลยครับ นิชคุณนิสัยดีใจดี หลังฉากก็เฮฮาดีนะครับ เฟรนด์ลี่ดี เวลาบอกอะไรไป เขาก็ทำแบบมืออาชีพมากๆ" ส่วนตัวนิชคุณไม่เยอะ แล้วทางต้นสังกัดน่าจะเยอะหรือไม่? "ไม่นะครับ ไม่เยอะๆ สำหรับผมนะครับ ไม่เยอะครับ คือเราขออะไรก็ได้หมด อยากให้เล่นอะไรก็ได้หมด เขาทำได้หมดทำอย่าง.

...