ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปสำรวจตึกร้างระดับพันล้านอย่าง ‘สาธร ยูนีค’ ที่ถนนเจริญกรุง โดยลักษณะของตึกเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมัน สูงระฟ้า 47 ชั้น และมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น รวมไปถึงมีลานจอดรถอยู่ตรงข้ามกับตึก...

ก้าวแรกที่เข้าไปในตึก รู้สึกได้ถึงความลึกลับ ประกอบกับความเก่าของอาคารทำให้ดูน่ากลัว บันไดในแต่ละชั้นไม่มีราวให้จับ และตั้งแต่ชั้นที่ 10 กว่าขึ้นไป ทางเดินตรงบันไดเริ่มมืด เนื่องจากมีกำแพงมากั้นห้อง ทำให้แสงอาทิตย์จากข้างนอกสาดส่องเข้ามาไม่ถึง ทีมข่าวต้องใช้ไฟฉายช่วยในการเดินทาง กระทั่งชั้นที่ 30 กว่า บันไดจะอยู่อีกทางหนึ่งต้องเดินเข้าไปช่วงกลางตึกถึงจะเจอบันไดขึ้นไปต่อจนถึงดาดฟ้า ระหว่างทางนั้นค่อนข้างอันตราย ไม่ใช่แค่ความมืด แต่ยังมีเศษหิน เศษแก้วอยู่ตามขั้นบันไดอีกด้วย

และเมื่อเท้าได้เหยียบชั้นดาดฟ้า กลับทำให้ความรู้สึกที่หวั่นเกรงต่อความมืดและความเก่าได้หมดไป ทอดสายตามองไปรอบตัวเห็นวิวกรุงเทพฯ ชัดเจน และเรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามจุดหนึ่งของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ หลังจากที่ใช้เวลาขึ้น-ลง ประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาทีนั้น ทีมข่าวได้เดินไปสอบถามยังเจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่ในย่านนี้มานาน ถึงเรื่องราวลี้ลับที่เล่าขานมาว่า ตึกนี้...มีอาถรรพณ์ !?

...

เขาว่ากันว่า...?

ทีมข่าวได้พบกับ ลุงแก้ว ช่างซ่อมรองเท้า หน้าปากซอยเจริญกรุง 51 โดยลุงแก้ว เล่าว่า ตนรับซ่อมรองเท้าตรงนี้มากว่า 11 ปีแล้ว โดยตอนที่มาอยู่ได้เห็นตึกนี้สร้างขึ้นมาแล้ว มีเสียงชาวบ้านแถวนี้ร่ำลือกันว่ามีคนงานโดนโบกปูนทิ้งไว้ในตึกแห่งนี้ และเงาของตึกได้พาดลงบนวัด ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับไม่เป็นมงคล ทำให้เมื่อทำอะไรก็ไม่เจริญ และเป็นเหตุให้ตึกนี้สร้างไม่เสร็จ

จากนั้น ทีมข่าวเดินทางเข้าไปในวัดยานนาวา เพื่อสอบถามถึงคำร่ำลือเกี่ยวกับตึกแห่งนี้ โดย ป้าธารนที เข็มทอง ผู้ดูแลทำความสะอาดบนเรือสำเภา วัดยานนาวา เปิดเผยว่า การที่สร้างตึกบังวัดเป็นสิ่งที่ไม่ดี ขนาดตึกที่สร้างภายหลังยังสร้างเสร็จก่อน ชาวบ้านแถวนี้เล่าว่า ในช่วงที่เริ่มสร้างตึกสาธร ยูนีค แรกๆ ชาวบ้านได้คัดค้านและสาปแช่งต่างๆ นานา เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้วัด ไม่เหมาะสมที่จะมีตึกสูงๆ มาอยู่ใกล้ เหมือนมาอยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าของเคยนิมนต์พระทั้ง 9 วัด มาทำพิธีแก้อาถรรพณ์ และขอให้สร้างสำเร็จ แต่ก็ไม่หาย

ขณะที่ พระจันทร์ทัย เขมจนทญาโณ พระในวัดยานนาวา อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า บวชอยู่ที่วัดแห่งนี้มา 6 ปีแล้ว สำหรับเรื่องตึกแห่งนี้เป็นสิ่งที่พูดต่อๆ กันมา และคิดว่า การที่มีเงาของสิ่งก่อสร้างมาทับวัด จะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล เพราะวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สมัยก่อนจะไม่นิยมสร้างอาคารสูงมาบดบังวัด

สำหรับเรื่องราวของความเชื่อด้านการสร้างอาคารหรือที่พักอาศัยนั้น มีผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในด้านนี้ คือ อ.วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฮวงจุ้ย และสถาปัตยกรรมศาสตร์ จะมาให้ความรู้และคำแนะนำถึงตึกสาธร ยูนีค และอาถรรพณ์ที่เล่าขานกันต่างๆ นานา ว่ามีจริงหรือไม่...?

...

ย้อนรอย...ที่ดินผืนงาม ริมแม่น้ำ !

เนื่องด้วยเศรษฐกิจช่วงปี พ.ศ.2535 ค่อนข้างดีมาก ค่าเงินบาทแข็งตัว และมีการสนับสนุนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ซื่งถือเป็นผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการสถาปนิก มีสไตล์เป็นของตัวเอง เน้นสถาปัตยกรรมแบบโรมันและเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้น จึงได้เข้าซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อสร้างโครงการ ‘สาธร ยูนีค’ เพื่อมาขายเป็นคอนโดฯ สุดหรูริมน้ำ

อ.วิศิษฐ์ ให้ข้อมูลในอดีตว่า ที่ผืนนี้เดิมนั้นตนเองคิดว่าน่าจะเป็น ‘สุสานเก่า’ เนื่องจากเมื่อก่อนชาวตะวันตกมาจับจองพื้นที่ในการทำโรงสีข้าว ประกอบกับใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา สะดวกต่อการส่งข้าว สีลมจึงเป็นแหล่งแปรรูปที่ดี ขณะเดียวกัน สาทรจะเป็นชุมชน มีบ้านพักอาศัย ตรงปลายแม่น้ำเจ้าพระยา มีคนจีนอาศัยอยู่เยอะ เพราะคนจีนชอบอยู่ริมแม่น้ำและใกล้ท่าเรือ ส่วนวัดยานนาวาเป็นวัดที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นที่ระลึกว่าพระองค์ท่านทรงเปิดประตูการค้า ระหว่างไทยกับจีน ทำให้คนจีนเข้ามามาก และอาศัยอยู่แถวนั้นเยอะ พื้นที่ดังกล่าวจึงกลายเป็นสุสานด้วยเช่นกัน

...

ย้ายสุสาน...สร้างที่พัก เศรษฐกิจดีจนคนมองข้าม !!

ตามหลักวิชาผังเมืองของคนจีน มีการแบ่งว่า ที่ทะเลเป็นที่สำหรับชาวประมง ที่ลุ่มเป็นที่สำหรับเกษตรกร ที่ดอนขึ้นมานิดหนึ่งเป็นที่สำหรับสุสาน พอสูงขึ้นมาหน่อยเป็นที่ราบสำหรับพ่อค้า บ้านพักอาศัย พอสูงขึ้นมาอีกนิดเป็นที่สำหรับขุนนาง ข้าราชการ และสูงขึ้นไปโดยมีภูเขาพิงหลังเป็นที่สำหรับกษัตริย์ ผู้นำชุมชน และคนจีนจะมีประโยคหนึ่งที่ว่า “ที่สำหรับคนเป็น คนตายไม่ควรเข้าไปอยู่ ที่สำหรับคนตาย คนเป็นไม่ควรเข้าไปแย่ง”

อ.วิศิษฐ์ มองว่า การวางผังเมืองของคนจีนสมัยโบราณมีกฎเกณฑ์พวกนี้อยู่ ซึ่ง อ.รังสรรค์ ไม่ได้เป็นคนกลัวเรื่องแบบนี้ และที่ตัดสินใจซื้อที่ดินดังกล่าวอาจจะเป็นเพราะติดแม่น้ำสายหลัก ทำเลดี ประกอบกับเมื่อก่อนแถววัดแขกมีการขอย้ายสุสานตรงนั้นไปทั้งหมด เพื่อจะสร้างโครงการ และได้มีกระแสต่อต้านจากสังคม ว่าสุสานเป็นของปู่ย่าตายาย คนที่มาอยู่เป็นใครบ้างก็ไม่รู้ การจะไปย้ายมันเป็นเรื่องใหญ่ และที่ไปย้ายก็ไม่ได้มีพิธีกรรมอะไร ในช่วงนั้นเศรษฐกิจมันดีมาก จนกระทั่งทุกคนมองข้าม

...

หลัก 3 ประการ : ฟ้า ดิน คน ปรับทิศทางทำเลให้ดีขึ้นได้ !?

ทำเลตรงนั้นแม้ว่าในอดีตจะมีสุสาน มีวิญญาณฝังอยู่ แต่ทุกๆ ทำเลนั้นสามารถปรับให้ดีขึ้นได้ คนจีนเชื่อว่าทุกทำเลสามารถทำให้เป็นพื้นที่ที่ดีได้ ถ้าเรารู้ว่าจังหวะโอกาสอยู่ที่ไหน ทิศทางที่ดีอยู่ที่ไหน ปรับใช้อย่างไร กาลเวลาที่มันเปลี่ยนแปลงไป สามารถรู้ว่าทิศทางโชคลาภอยู่ทางไหน ทิศทางบารมีอยู่ที่ไหน และคนที่เข้ามาอยู่ตรงนั้น คนไหนถึงจะเหมาะสมกับโครงการนี้ คนจีนเขาพูดถึง 3 หลัก คือ หลักฟ้า หลักดิน หลักคน

*หลักฟ้า หมายถึง โอกาส จังหวะ เวลา สถานการณ์มีความเหมาะสมไหม
*หลักดิน หมายถึง ทำเล ว่าที่ดินตรงนั้นเหมาะสมไหม มีความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญ ความสะดวกสบาย มีอากาศดี
*หลักคน หมายถึง คนที่มีความเหมาะสมมาอยู่ที่แห่งนี้

“ที่ตรงนี้แม้เคยเป็นสุสานมาก่อนก็ตาม สรรพสิ่งล้วนมีเกิดมีดับ ถ้าเราใช้พลังตรงนั้นให้เป็น พลังตรงนั้นจะย้อนกลับมาให้ดีได้” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฮวงจุ้ย ชี้แจง

ทิศทางตึก โชคลาภเปี่ยม แนะปรับรูปแบบให้ทันสมัย !

อ.วิศิษฐ์ เปิดเผยว่า ทิศทางของตึกหันหน้าไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา แกนองศาในช่วง 10-20 ปีนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีโชคลาภเต็มเปี่ยม ฮวงจุ้ยเดิมอาจเป็นที่ที่มันมีปัญหาอยู่ ซึ่งทุกอย่างย่อมมีการหักล้าง หากมีพลังงานที่ดี พื้นที่ทำเลไม่ดี แต่คนเข้ามาทำพิธีกรรมดี มีความเหมาะสมมาถอนเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกไปได้ และมีการจัดการทุกอย่างก็จะดีหมด

ในปัจจุบันรสนิยมของคนเปลี่ยนไป สังเกตได้จากลักษณะอาคารมันแก้ให้เป็นแบบสมัยใหม่ยากแล้ว เพราะมันเป็นเสาแบบโรมัน Corinthian หลังจากปี 2540 เทคโนโลยีเรื่องกระจกมันเข้ามาใหม่ มันทำให้รูปแบบอาคารเปลี่ยนแปลงไปหมด รูปแบบเก่าคนไม่สนใจแล้ว ถ้าดูจากผิวรอบอาคารหรือความหนาของอาคารค่อนข้างมืดมาก พื้นต่อพื้นมัน 3 เมตรกว่า แต่ความกว้างอาคารเกือบ 20-30 เมตร แสงอาทิตย์จึงเข้าถึงข้างในได้ยาก เรื่องของอากาศ แบคทีเรียในอากาศหรือสภาพความเปื่อยเน่าข้างในมีอีกเยอะ ยังต้องปรับปรุง

ฉะนั้น คนที่จะมาซื้อที่ตรงนี้ไปทำ ต้องมีการรื้อถอนก่อน เอาหน้ากากทิ้งและต้องใช้เงินมหาศาล ขณะเดียวกัน โครงสร้างที่ทิ้งอยู่นานหลายสิบปี เกิดการผุกร่อนทางด้านวัสดุ ความชื้นเข้าไป โครงสร้างย่อมจะล้า ทุกอย่างผุพังไปตามกาลเวลา เพราะขาดการดูแลรักษา แนะควรลดทุนลงอาจทำให้ขายได้

เจ้าของเคยนิมนต์พระทั้ง 9 วัดมาทำพิธี เพื่อให้สร้างสำเร็จ แต่ก็ไม่หาย !?

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฮวงจุ้ย อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การที่นิมนต์พระมาสวดเพื่อให้วิญญาณหลุดพ้นนั้น เป็นพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เชื่อกันว่าในวิญญาณต่างๆ เหล่านี้ ถ้าได้รับบุญกุศลเพียงพอแล้ว จะสามารถช่วยให้ไปเกิดได้ แต่พวกสัมภเวสีหรือวิญญาณต่างๆ ยังมีอีกหลายหมู่ ที่บางหมู่นั้นไม่อาจรับอนุโมทนาหรือคุณสมบัติทางบุญบารมีไม่มากพอ ญาติโยมไม่ได้บอกว่าให้สิ่งเหล่านี้มาอนุโมทนา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีหลักทางวิทยาศาสตร์มารองรับ เป็นเพียงความเชื่อของคนเท่านั้น

แต่เมื่อมีการนิมนต์พระ 9 วัดมาทำพิธี แสดงว่าสถานที่แห่งนี้มีบางสิ่งอยู่ นั่นคือ สุสานเก่า ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้และสามารถพิสูจน์ได้มากที่สุด

ชาวบ้านสาปแช่ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้วัด !?

มนุษย์เราจะถือเรื่องที่ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของสูง ไม่ควรจะมีอะไรไปอยู่เหนือท่าน อันนี้อาจเป็นเรื่องยึดถือตามกันมา และพื้นที่ตรงนี้รอบๆ นั้นคือวัดทั้งสิ้น

ซินแสชื่อดัง อธิบายว่า ตามหลักฮวงจุ้ยมีกฎอยู่ 10 ข้อ หนึ่งในนั้นบอกว่า ห้ามสร้างอยู่ใกล้วัด เพราะวัดเป็นที่ที่มีเรื่องความตายอยู่ และวัดยานนาวา เมื่อก่อนใช้เป็นที่ฝังศพมากมาย เคยมีการปลดปล่อยวิญญาณครั้งใหญ่และมีการทำพิธีแบบจีน โดยใช้ไม้ไปชี้แล้วขุดศพขึ้นมา ที่ตรงนั้นก็อยู่ในส่วนนั้นด้วย ซึ่งส่วนนี้วิญญาณบางตนก็ยังผูกพันเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ บางวิญญาณก็ไม่สามารถรับบุญอานิสงส์การที่จะไปเกิดใหม่ได้

วิธีแก้อาจจะอัญเชิญสถานที่ข้างบนไปเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือไปเป็นวัด โดยการนำพระหรือสิ่งสูงไปไว้ข้างบน

เงาตึกทับวัด ว่ากันว่าไม่เป็นมงคล ทำอะไรไม่เจริญจริงหรือ ?

อ.วิศิษฐ์ ตอบคำถามให้คลายสงสัยว่า เป็นความเชื่ออีกเหมือนกัน ถ้าสิ่งใดไปข่มสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มักจะไม่ดี แต่ในปัจจุบันพื้นที่ไม่พอ แถวเยาวราชก็มีตึกรอบวัดไปหมด เขาถึงเรียกวัดตึก เงาอาคารทอดลงไปที่วัดอยู่สม่ำเสมอ แต่แถวนั้นเจริญรุ่งเรืองกันเยอะแยะ มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน ความจริงเงาอาคารช่วยบังแดด ความร้อน คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แต่ตึกทุกตึกจะมีเงาของแต่ละเดือนต่างกัน เพราะพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ไม่ตรงกัน

“เรื่องตรงนี้คิดว่าไม่เกี่ยว มันอยู่ที่ทิศทางลม ทิศทางแดดมากกว่า เทพเจ้าต้องดูแลมนุษย์ และมาโกรธเคืองเรื่องเงาอาคาร เทพเจ้าองค์นั้นไม่น่านับถือ แสดงว่าจิตใจท่านต่ำมาก คิดว่ามันไม่ใช่ ไปโยนความผิดให้เทพเจ้า คนที่มองแบบนี้เป็นคนที่มีทัศนคติมองโลกในแง่ร้ายมากกว่า” ซินแสชื่อดัง แจง

3 ศาล ที่ตั้งอยู่ในสำนักงานอัยการสูงสุดหันหน้าเข้าหา 'สาธร ยูนีค'

ศาลเสด็จพ่อเทพาดำทุ่ง ศาลตายาย ศาลพระภูมิ ที่ตั้งอยู่ในสำนักงานอัยการสูงสุดในซอยถัดไปนั้น ทั้งสามศาลหันหน้ามาทางตึกสาธร ยูนีค ชาวบ้านแถวนั้นลือกันว่าเป็นสิ่งไม่ดี ตึกสร้างบังศาลและไม่มีการบวงสรวงหรือขออนุญาต

อ.วิศิษฐ์ มีความเห็นว่า การสร้างศาลต่างๆ ทางพราหมณ์จะต้องดูว่าศาลควรจะหันไปทางทิศไหนถึงจะมีบารมีที่ดี แต่การหันหน้าไปที่ตึกดังกล่าวนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน คิดว่าคนไทยไปโยงเรื่องกันเองมากกว่า ควรจะพิจารณาที่ต้นเหตุของปัญหาว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่กลับไปโยนความผิดให้กับสิ่งอื่น ซึ่งบางทีเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

มองหลายปัจจัย รื้อ-ไม่รื้อ ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน !

อ.วิศิษฐ์ มองว่าการที่จะสร้างตึกแห่งนี้ให้ลุล่วงไปได้ต้องให้ระบบวิศวกรรมทำการตรวจสอบโครงสร้างอาคาร ว่าตึกอายุขนาดนี้สามารถที่จะดำรงอยู่ได้หรือไม่ ถ้ายังไหวอยู่ก็เสริมเหล็กดามเข้าไปแล้วทำหน้าตาใหม่ หาทางให้มีการถ่ายเทอากาศแบบบริสุทธิ์ ทำให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า แต่ถ้าไม่สมบูรณ์ผุพังต้องรื้อทิ้ง และทำโครงการใหม่หรืออาจสร้างสิ่งที่เป็นอนุสาวรีย์ของสังคมไทย การเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติน่าจะเกิดความหมายที่ดีกว่า

“ผมมองว่าหลายๆ ปัจจัย และเมื่อชั่งน้ำหนักแล้วสิ่งใดดีกว่าเหมาะสมกว่าให้คุณค่าคุณประโยชน์มากกว่าควรทำสิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรามีการวิจัยและมีการทดสอบ ตรวจสอบ และมีการประเมินผล สุดท้ายถึงจะมีคำตอบว่าควรทำอะไรกับมัน ส่วนในเรื่องความเชื่อไม่ต้องพูดถึง ความเชื่ออยู่ที่ใครพูดอะไรก็ได้” อาจารย์ชื่อดังอธิบาย

หลายคนมองว่าที่ตรงนี้เป็นที่อาถรรพณ์ ที่ไม่ดีอยู่ใกล้วัดและเคยเป็นสุสานมาก่อน และตึกนี้เป็นตึกที่เกิดขึ้นโดยบุคคลที่มีภาพในสังคมไม่ดี จึงเกิดปัญหามาไม่ได้เป็นปัญหาตัวสภาพแวดล้อม แต่เป็นปัญหาเรื่องของสังคมที่พูดถึงกัน หากวันนั้นไม่มีคดี ตึกนี้อาจจะสร้างเสร็จนานแล้ว และเมื่อมีการปรับปรุงตึกนี้ขึ้นมาใหม่ ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างไปทับถมอีก เรียกว่า ‘ทุกข์ไม่พอยังเอาทุกข์ไปทับถมทุกข์ มันจะได้เกิดเมื่อไหร่’

“ถ้าคนเรามองโลกในแง่ดี เราจะคิดว่าจะหาทางทำอย่างไรให้ทรัพยากรที่มีอยู่เกิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าผมเป็นสถาปนิก ผมไม่เห็นด้วยในการสร้างอาคารสูงในเมืองมากนัก เพราะเมืองมันหนาแน่น ระบสาธารณูปโภคมันน้อยเกินไปไม่พอที่จะรองรับต่อการเจริญเติบโต” ซินแสชื่อดัง ทิ้งท้ายชวนคิด

คนเราควรก้าวข้ามความคิดเห็นในเรื่องของฮวงจุ้ย ความเชื่อ หรือที่คนพูดต่อๆ กันมา แต่ให้เข้าไปศึกษาหาเหตุผลที่แท้จริงว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรมากกว่า เรื่องโชคลาภ ความร่ำรวยต่างๆ ที่ดี เป็นหน้าที่ของฟ้า แต่ความสำเร็จเป็นหน้าที่ของคน!