จากกรณีข่าวดัง ช่างภาพหนุ่มพบศพชายชาวต่างชาติ แขวนคออยู่ในห้องน้ำชั้น 43 ภายในตึก 'สาธร ยูนีค' และการปิดตึกไม่ให้คนภายนอกเข้าแต่กลับพบว่ามีผู้ลักลอบเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีเหตุอันน่าสลดใจเกิดขึ้น โดยตึกแห่งนี้เป็นที่กล่าวขานของบรรดานักถ่ายภาพว่า "สักครั้งในชีวิตจะต้องไปถ่ายภาพบนตึกแห่งนี้ให้ได้" เนื่องด้วยเป็นตึกสูงใจกลางเมืองกรุง สามารถมองเห็นฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรีอย่างชัดเจน และยังมีแม่น้ำสายใหญ่อย่างเจ้าพระยาคั่นกลางอีกด้วย

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงขอเข้าไปพิสูจน์ถึงที่ ณ 'สาธร ยูนีค' ถนนเจริญกรุง และเมื่อฝ่าฟันขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของตึก ต้องใช้คำว่า "สมคำร่ำลือ" จริงๆ วิวทิวทัศน์จากบนยอดตึกแห่งนี้สวยงามสมกับสิ่งที่ช่างภาพหลายคนใฝ่ฝันไว้ สามารถมองเห็นกรุงเทพฯ ได้โดยรอบ แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะหากตึกแห่งนี้สร้างสำเร็จคงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมเมืองกรุงอย่างแน่นอน

ขณะที่ ชื่นชมความสวยงาม แต่ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากตึกแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 และดูจากภายนอกค่อนข้างเก่า ส่วนภายในมีปูนหรือกำแพงหักบ้าง เป็นโพรงบ้าง หวั่นเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อผู้คนโดยรอบ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงได้ซักถามข้อสงสัยไปยังผู้รู้ด้านต่างๆ เพื่อมาชี้แจงเรื่องการสร้างตึกว่ามีการกำหนดความสูงอย่างไร และตึกเก่ามีอันตรายแค่ไหน มีโอกาสถล่มลงมาหรือไม่...?

...

จะสร้างตึกสูง...ต้องรู้เรื่องโซนนิ่ง !

นายสินิทธิ์ บุญสิทธิ์ ผอ.สำนักควบคุมและตรวจสอบอาคาร เปิดเผยว่า เจ้าของตึกจะต้องดูเรื่องโซนนิ่งของผังเมืองปัจจุบันก่อนว่า ผังเมืองปัจจุบันกำหนดเรื่องค่า FAR (Floor Area Ratio) คือ อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน ไว้เท่าไหร่อย่างไร จากนั้นจะต้องมาดูตามกฎหมายควบคุมอาคาร เรื่องความสูงของอาคาร จะต้องสูงไม่เกิน 2 เท่าของความกว้างถนน บวกกับระยะร่น ซึ่งถ้าจะสร้างตึกสูงจะต้องร่นอย่างน้อย 6 เมตร เช่น ถนนกว้าง 20 เมตร บวกระยะที่ต้องร่นออกมาจากถนน 6 เมตร = 26 เมตร x2 = 52 เมตร ใช้ 3 หาร จะได้ชั้นทั้งหมด 17 ชั้น เป็นต้น

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ อธิบายว่า การจัดโซนนิ่งตึก ถ้าจะปรับปรุงแก้ไข อาคารสูงมีกฎหมาย 2 ระดับที่เกี่ยวข้องกัน 1. คือกฎหมายผังเมือง บางที่ไม่ให้ทำตึกสูง เช่น แถวลาดกระบัง เพราะอยู่ในพื้นที่สนามบิน และพื้นที่สีเขียว อีกประการคือ พ.ร.บ.ว่าด้วยกฎหมายอาคารที่มีตั้งแต่ปี 2522 โดยมีกฎกระทรวงที่บอกว่า หากด้านหน้าไม่ถึง 10 เมตร จะไม่สามารถสร้างตึกสูงกว่า 23 เมตร ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องพวกนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเป็น พ.ร.บ. ก็ต้องไปเปลี่ยนแปลงที่รัฐสภา ถ้าเป็นกฎกระทรวง กทม. ก็ต้องไปเปลี่ยนที่กระทรวงของ กทม.

เขตพื้นที่วัดห้ามสร้างตึกสูงจริงหรือ ?

นายเชาวฤทธิ์ ทรงนวรัตน์ ผช.ผอ.สำนักงานเขตสาทร มองว่า ไม่น่าจะเกี่ยว ถ้ามีข้อห้ามคงสร้างไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก่อนที่จะอนุญาตให้สร้างตึกจะต้องดูแล้วว่าพื้นที่มันขัดและผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้ามันผิดเขาก็คงห้ามไม่ให้สร้าง

ด้าน นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ผอ.สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร อธิบายว่า กฎหมายเป็นเรื่องผังเมือง มีรายละเอียดเป็นที่ที่ สำหรับตึกนี้สร้างมานานแล้ว จะต้องย้อนไปดูกฎหมายหลายๆ ฉบับ เทียบกับวันที่อนุญาต เมื่อสร้างมานานแล้วจะเอากฎหมายใหม่ไปจับไม่ได้ เพราะหากทำถูกตอนนั้นกฎหมายเพิ่งมาเปลี่ยนใหม่ตอนหลังจะไปเอาผิดไม่ได้ และคิดว่าไม่น่าจะมีข้อคลาดเคลื่อนตรงนั้น น่าจะสร้างอย่างถูกต้องในเวลานั้น ส่วนตอนนี้กฎหมายจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยนตรงนี้ไม่ทราบ เพราะว่าตึกนี้ยังไม่ได้เปิดใช้ ถ้าเจ้าของตึกจะทำต่อจนเสร็จ ทางสำนักการโยธาก็ต้องไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง

...

'สาธร ยูนีค' สมควร รื้อทิ้ง หรือ สร้างต่อ ?

นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ให้ความเห็นว่า หากมีการรื้อต้องเริ่มใช้กฎหมายตัวใหม่ แต่เอกชนบางรายหลบเลี่ยงช่องว่างของกฎหมาย โดยจะใช้คำว่า 'ปรับปรุงอาคาร' ถ้าเป็นตึกดังกล่าว สามารถปรับปรุงอาคารได้แน่นอน แต่จะต้องมีการสำรวจ และมีการคำนวณ ซึ่งขั้นตอนประเมินตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะต้องใช้เวลาในการประเมิน 6-7 เดือน ดังนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าก่อนที่ใครจะมาซื้อตึกนี้ จะมีการจ้างวิศวกรมาประเมินก่อนว่าจะต้องเสียเงินซ่อมแซมเท่าไหร่ ซึ่งคิดว่าตึกดังกล่าวก็น่าจะปรับปรุงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ารื้อตึกแล้วสร้างใหม่ จะยึดกฎหมายตัวใด เพราะตอนที่สร้างตึกดังกล่าวยึดกฎหมายตัวเก่า

ขณะที่ ผอ.สำนักการโยธา กทม. กล่าวว่า ถ้ามีการทุบทิ้งแล้วสร้างต่อนั้น จะอยู่ในส่วนของกฎหมายใหม่ ต้องขออนุญาตสำนักการโยธา และหากจะต่อเติมดัดแปลงแก้ไข ทางเจ้าของตึกจะต้องขออนุญาตก่อนเช่นกัน

...

'สาธร ยูนีค' แข็งแรงแค่ไหน ?

ผช.ผอ.สำนักงานเขตฯ กล่าวถึงในเรื่องโครงสร้างตึกว่า ไม่น่าจะอันตราย อาคารที่สร้างไม่เสร็จบางทีมันมีเหล็กโผล่ แบบนั้นจะอันตราย แต่ตึกแห่งนี้มีการเทปูนเรียบร้อยหมด มันปิดอากาศความชื้นเข้าไม่ได้ เหล็กไม่เป็นสนิม จึงไม่น่ากลัวว่ามันจะถล่ม เท่าที่สำนักการโยธาเข้ามาดูโครงสร้างมันสร้างเสร็จแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาอะไร

ด้าน ผอ.สำนักการโยธา กทม. ระบุว่า ความแข็งแรงตามการคำนวณที่เขามี ถ้าสร้างไปตามนั้นก็จะมีความแข็งแรงตามรูปแบบมาตรรับแรงในสภาพการใช้งาน การที่ยังสร้างไม่เสร็จก็ยังอยู่ในความดูแลของวิศวกรควบคุมงาน เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของอยู่กับวิศวกรผู้ออกแบบและควบคุมงาน โดยมีวิศวกรที่มีวิชาชีพรับรอง และทำการยื่นแบบให้กับสำนักการโยธาและให้เขาสร้างตามแบบ ในระหว่างที่ยังสร้างไม่เสร็จก็เป็นเพราะติดปัญหา ส่วนลักษณะกายภาพทั่วไปของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก มันมีความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แต่เข้าใจว่าการที่โครงสร้าง ซึ่งไม่ได้ทาสี มีคราบของน้ำฝนหรืออะไรต่างๆ ที่ดูไม่ดี ทั้งนี้ ก็เป็นเรื่องของเจ้าของตึก ส่วนภาครัฐถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จำเป็น ฉุกเฉิน เราก็ไม่สามารถเข้าไปดูที่ของเขาได้โดยพลการ เป็นเรื่องสิทธิของเจ้าของตึกด้วย

...

ศ.ดร.สุชัชวีร์ มองว่า การปล่อยตึกทิ้งร้างไม่ได้มีการดูแลย่อมมีผลต่อโครงสร้างแน่นอน แต่ว่ามันไม่ได้ถึงในระดับที่จะทำให้โครงสร้างพัง มีปัญหาเรื่องการตกแต่งในภายหลัง แต่เรื่องความมั่นคง คงจะไม่ได้พังเพราะว่าเก่า 20 กว่าปี โครงสร้างตึกนี้ถ้าดูแลดีๆ น่าจะได้เป็นร้อยปี ส่วนการที่มีคนขึ้นไปขโมยเหล็กบางส่วน ถ้าเกิดเหล็กวางไว้ขโมยได้ แต่ถ้าเหล็กในเสาขโมยไม่ได้อยู่แล้ว ตรงนี้ไม่มีปัญหาอะไร

หายห่วง ‘สาธร ยูนีค’ ยังรับน้ำหนักได้อีกเยอะ !

นายภัทรุตม์ มองในเรื่องนี้ว่า โอกาสถล่มต้องดูปัจจัยว่าเกิดจากอะไร เกิดจากแรงธรรมชาติหรือเกิดจากแผ่นดินไหว มันก็เป็นเรื่องอาคารทั่วๆ ไปว่าออกแบบว่าอย่างไร อันที่จริง อาคารที่สร้างทิ้งร้างมันไม่มีน้ำหนักบรรทุกเหมือนอาคารที่ใช้งานทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ มันไม่มีคนอยู่ ไม่มีของ ไม่มีรถยนต์เข้าไปจอด ไม่มีอะไรเลย ฉะนั้น แทบจะไม่ได้บรรทุกน้ำหนักอะไรเลยนอกจากตัวมันเอง น้ำหนักจะน้อยกว่าตึกที่ใช้งาน เมื่อไม่ได้มีการบรรทุกน้ำหนักอะไรเลย ก็ยังมีความพร้อมที่จะรับน้ำหนักได้อีกเยอะ

สำหรับตอนหน้า จะเป็นเรื่องของที่ดินบริเวณนี้ ย่านใจกลางเมือง แถมยังติดแม่น้ำ อยากรู้ว่าแพงแค่ไหน ต้องรอติดตามตอนต่อไป...