"ผมไม่ทราบว่า ผู้บังคับบัญชาในอดีตคิดอย่างไร แต่ในยุคสมัยของผม 1 ปีที่อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร. ใหญ่แค่ไหนก็จับ ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการวางมาตรฐานให้ผู้ที่จะมาเป็น ผบ.ตร.ต่อจากผม ยึดเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ และวางกรอบสร้างคุณธรรม ธรรมาภิบาลขึ้นใหม่ ในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง"

นี่คือวลีเด็ดจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ที่นำทีมแถลงข่าวการจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. พร้อมพวก รวม 12 คน ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และคดีอาญาร้ายแรงหลายความผิด ในวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา

คดีนี้เริ่มต้นเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งย้ายฟ้าผ่า นายตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่หลายนาย

ลำดับเหตุการณ์ ล้างบางเครือข่ายบิ๊กสีกากี

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. พนักงานสอบสวนชุดเฉพาะกิจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ขออนุมัติศาลอาญาขอหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. ข้อหา ป.อาญา มาตรา 112 (หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ), มาตรา 148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ), มาตรา 149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ), มาตรา 157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ

...

ส่วน พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง โดนข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เรียกรับผลประโยชน์ จูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ขณะที่ พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร และนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ภรรยา โดนข้อหา ร่วมกันก่นสร้างแผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ นางสวงค์ มุ่งเที่ยง และนายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ข้อหา ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47

ขณะที่ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป. คนสนิท พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ที่เพิ่งถูกสั่งย้ายจากตำแหน่ง ผกก.1 บก.ป. รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ได้เสียชีวิตกะทันหัน ใบมรณบัตร ระบุว่า พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ เสียชีวิตเมื่อเวลา 01.32 น. ของวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา สาเหตุการตายเกิดจาก “กระดูกสันหลังส่วนอกหักหลายชิ้นเนื่องจากตกจากที่สูง” สถานที่เสียชีวิต ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ตะลึง! บุกค้นพบทรัพย์สินกว่าพันล้าน 

วันที่ 23 พ.ย. พล.ต.อ.สมยศ มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 632/2557 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ประกอบด้วย 1. พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 2. พล.ต.ต.โกวิทย์ 3. พล.ต.ต.บุญสืบ 4. พ.ต.อ.วุฒิชาติ 5. ด.ต.สุรศักดิ์ และ 6. ด.ต.ฉัตรินทร์ ซึ่งวันเดียวกันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจค้นที่บ้านพัก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พบเงินสดเป็นธนบัตรดอลลาร์ รวมทั้งสิ้นหลายสิบล้านดอลลาร์กับทองคำแท่ง ทองรูปพรรณจำนวนมาก ส่วนที่บ้าน พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ อดีต รอง ผบช.ก. พบธนบัตรและทองคำในบ้านจำนวนมากเช่นกัน มีวัตถุโบราณล้ำค่าอีกจำนวนมาก ประเมินมูลค่าทรัพย์สินไม่น่าต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ก่อนพิจารณานำหลักฐานทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการอายัด และดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน โดย ผบ.ตร.ได้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงผู้เกี่ยวข้องด้วย

ส่วย 50 ล้าน น้ำมันเถื่อน 118 ล้าน แถมด้วยเรื่องบ่อนห้วยขวาง

วันที่ 24 พ.ย. สื่อไทยและต่างประเทศติดตามทำข่าวคดีดังกล่างตั้งแต่เช้า โดยในช่วงเที่ยง เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาชุดแรกมาฝากขัง โดยไม่มี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กระทั่งช่วงเย็น ถึงได้มีการควบคุมตัวอดีตนายตำรวจระดับสูงทั้งหมดมาฝากขังที่ศาลอาญา ส่วน พ.ต.อ.โกวิทย์ อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร และนางสุดาทิพย์ ภรรยา ได้ประกันตัว จากข้อหารุกป่า เนื่องจากเห็นว่ามิใช่เป็นข้อหาฉกรรจ์ 

...

คำร้องฝากขัง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีความผิดทั้งซื้อขายตำแหน่ง รับส่วย 50 ล้าน น้ำมันเถื่อน 118 ล้าน ส่วน พล.ต.ต.โกวิทย์ โดนเรื่องส่วยบ่อนย่านห้วยขวางกับน้ำมันเถื่อน ขณะที่ พล.ต.ต.บุญสืบ โดนเรื่องซื้อขายตำแหน่งกับน้ำมันเถื่อน

ประกาศิต ผบ.ตร.​ใหญ่แค่ไหนก็จับ!

วันที่ 25 พ.ย. พล.ต.อ.สมยศ ผบ.ตร. ได้แถลงข่าวใหญ่ พร้อมประกาศประกาศิต "ใหญ่แค่ไหนก็จับ" พร้อมโชว์ภาพทรัพย์สินที่สามารถอายัดทรัพย์ขบวนการดังกล่าวมาได้ โดยระบุว่า ตอนหนึ่งว่า "เงินส่วนหนึ่งที่ได้มา เป็นเงินไม่ถูกต้อง ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการตำรวจ ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่งตั้งโยกย้ายซื้อขายตำแหน่ง จึงร้องทุกข์ร้องเรียนมา และบางเรื่องยังไม่สามารถเปิดเผย ได้เพราะอยู่ระหว่างขยายผล และยังมีนายตำรวจเกี่ยวอีกหลายนายในทุกระดับชั้น เพราะพบพยานหลักฐานเกี่ยวข้องเชื่อมโยง ซึ่งขบวนการทั้งหมด พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นหัวหน้า ทำมานานหลายปีแล้ว ส่วนกรณีการหมิ่นเบื้องสูงนั้น เนื่องจากมีการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแต่งตั้งโยกย้าย, ผลประโยชน์บ่อนการพนัน และขบวนการน้ำมันเถื่อน"

...

วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งแรก นายชอบ ชินนะประภา อายุ 60 ปี และนางปิยพรรณ ชินนะประภา อายุ 56 ปี สามีภรรยา ผู้ต้องหากระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยในคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ต.ค.2553- 1 พ.ย.2557 ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เรียกร้องเงินหรือผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประสงค์จะไปรับตำแหน่งสูงขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับความมั่นคงในการทำงาน

นอกจากนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ยังได้แถลงถึงการอายัดทรัพย์สินเครือข่ายบิ๊กสีกากี ที่มีวัตถุโบราณและทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท

จับกลุ่มบุคคลแอบอ้างสถาบันฯ 

ต่อมา วันที่ 26 พ.ย. พล.ต.ท.ประวุฒิ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบันฯ เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ได้มีการทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ผู้เสียหายเป็นหญิง มูลค่าทรัพย์ที่ถูกประทุษร้าย 20 ล้านบาท ตรวจสอบแล้วพบผู้ร่วมกระทำความผิด 5 คน ได้แก่ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ นายชากานต์ ภาคภูมิ จึงได้ยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาล และศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตราย ต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยว หรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำ หรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์” เหตุเกิดในเขตรับผิดชอบของ สน.พระโขนง และขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมดได้ถูกจับกุมแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย

...

ดีเอสไอ ลุยสอบ ส่วยน้ำมันเถื่อน 

วันที่ 27 พ.ย. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้สั่งการให้ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำการตรวจสอบหน่วยงานสังกัด ในพื้นที่ภาคใต้ที่มีส่วนรับผิดชอบคดีการค้าน้ำมันเถื่อน ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ซึ่งนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงนามคำสั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีมีข้อมูลระบุถึงเจ้าหน้าที่ดี เอสไออย่างน้อย 3 คน เกี่ยวข้องกับเครือข่ายรับส่วย จากนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ นักธุรกิจภาคใต้ ที่เชื่อมโยงเรื่องสินบนกลุ่ม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แล้ว เบื้องต้นให้ตรวจสอบว่า ข้อมูลเป็นชื่อเล่น เป็นบุคคลใดกันแน่ ใช่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอหรือไม่ และในช่วงเวลาที่ระบุถึง เจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่มีรายชื่อ ได้รับมอบหมายจากกรมให้ลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ ทั้งนี้ หากพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเกี่ยวข้องกับการรับส่วย หรือเชื่อมโยงกับเครือข่ายดังกล่าว ทางดีเอสไอจะดำเนินการตามระเบียบราชการต่อไป หากมีมูลจะนำไปสู่การตั้งกรรมการสอบวินัยต่อไป

เด้ง 3 ตำรวจน้ำระดับ "นายพัน" โยงสินบนน้ำมันเถื่อน

กระทั่ง วันที่ 28 พ.ย. ผบ.ตร. ได้แถลงโชว์บัญชีส่วยน้ำมันเถื่อน ที่พัวพัน ตำรวจน้ำ ซึ่ง พล.ต.ท.ประวุฒิ ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผกก.5 บก.รน. พ.ต.อ.ธนชาติ ศุภวุฒิ ผกก.7 บก.รน. และ พ.ต.อ.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้บังคับการเรือ (สบ 4) กลุ่มงานเรือตรวจการณ์ฯ บก.รน. มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.บช.ก. เนื่องจากการสอบสวนเบื้องต้น พบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ และเพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังเดินถอดยศ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกหมิ่นสถาบันอย่างน้อย 7 คนด้วย

อ้างเป็น “พระอนุชา” เจรจาทวงหนี้

ที่สำคัญ ศาลจังหวัดพระโขนง ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ โดยระบุคำร้องพนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2557 เวลา 07.30 น. นายชากานต์ ผู้ต้องหาที่ 5 พร้อมกับพวกรวม 5 คน มาดักรอนายวิทยา ปัญญาทวีกูล ผู้เสียหาย ที่หน้าบ้านพักเลขที่ 869/8 ซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม. ใช้ปืนขู่บังคับไปที่บ้านหลังหนึ่งย่านพุทธมณฑลสาย 3 แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม. พบกับ นายณัฐพล ผู้ต้องหาที่ 1 แนะนำตัวเองเป็นพระอนุชาของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ แล้วบังคับให้ติดต่อบุคคลที่รู้จักไปเจรจาเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่กับ นาย ป. ผู้เสียหายพยายามติดต่อบุคคลผู้ใกล้ชิดให้ไปพบพวกผู้ต้องหาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใกล้วัดศรีเอี่ยม ถนนบางนา-ตราด แต่บุคคลนั้นไม่ยอมออกมาพบผู้ต้องหา จึงควบคุมตัวนายวิทยาไว้ กระทั่งวันที่ 21 มี.ค. 57 เวลา 01.05 น. ได้พานายวิทยาออกจากบ้านแล้วปล่อยตัวไป

ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา”

วันที่ 29 พ.ย. พล.ต.ท.ประวุฒิ ยืนยัน กรณีมีประกาศคำสั่งให้ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” จากกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้ประสานไปยังกระทรวงมหาดไทยให้ดำเนินการยกเลิก ซึ่งผู้ที่ได้รับการให้ใช้นามสกุลดังกล่าว จะต้องให้กลับไปใช้นามสกุลเดิม

สำหรับประกาศดังกล่าว ระบุเป็นเอกสารจากหน่วยราชการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร V 904 ที่ พว 0005.1/ ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 เรื่อง ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย มีเนื้อความดังนี้ “ด้วยกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขอยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” โดยให้ผู้ที่ใช้ชื่อสกุลพระราชทานนี้ในปัจจุบัน กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และดำเนินการต่อไป” ลงนามโดย พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังนำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วย ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนระบุในคำร้อง สรุปว่า ตามคำร้องฝากขังผู้ต้องหาหมายเลขดำ พ.2623/2557 ลงวันที่ 24 พ.ย. 57 ตามที่ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา รวมทั้งอนุญาตให้รับตัวผู้ต้องหากลับไปควบคุมไว้ เพื่อสอบสวนหาทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.-5 ธ.ค.57 บัดนี้พนักงานสอบสวนหมดความจำเป็นที่จะควบคุมตัวไว้ ขอส่งตัวผู้ต้องหาคืนต่อศาล หลังจากศาลพิจารณาคำร้อง และสอบถามผู้ต้องหาแล้ว ไม่คัดค้าน รับตัวผู้ต้องหาไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ขึ้นรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีรถยนต์สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำหน้าและปิดท้าย โดยไม่มีผู้มาขอประกันตัวแต่อย่างใด

แถลงรวบอีก 2 เรียก "รองเต่า" สอบเพิ่ม 

วันที่ 30 พ.ย. เจ้าหน้าที่แถลงข่าวจับกุม นายชลัช โพธิราช อายุ 30 ปี และนายณัฐนันท์ ทานะเวช อายุ 24 ปี รวม 4 ข้อหา ประกอบด้วย ม.112 ข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือยอมจำนนต่อสิ่งใด โดยผู้ต้องหาให้การสารภาพว่า เคยข่มขู่เจรจาลดหนี้หฤโหดจาก 120 ล้าน ให้เหลือ 20 ล้านบาท

พล.ต.ท.ประวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีการติดตาม พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป.หรือ “รองเต่า” พยานปากเอกของคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่า อยู่ระหว่างพยายามให้ผู้บังคับบัญชาเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม จากเดิมเรียกตัวมาสอบแล้วให้กลับไป ถึงวันนี้เรียกตัวมาสอบปากคำเพิ่มแต่ไม่มา คาดว่าคงหลบหนีด้วยความกลัว หรือตกใจ ขอให้ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ติดต่อมาด้วย ถ้าหลบหนีไปเกรงว่าจะเกิดอันตราย ขอให้ติดต่อผู้บังคับบัญชาที่ไว้ใจ ติดต่อหรือเข้ามาหาตนได้ทันที พ.ต.ท.ทรงรักษ์ อาจจะรู้เห็นในเส้นทางการส่งผลประโยชน์ที่อยู่ในขบวนการ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เคยเข้ามาให้ปากคำอาทิตย์ที่แล้วไม่มีอะไร จึงให้ปล่อยตัวกลับไป ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ แต่ขอไม่เปิดเผยเพราะเป็นเรื่องในสำนวน หากไม่เข้ามาพบเกิน 15 วัน จะมีโทษทางวินัยคือ ขาดราชการเกินกว่า 15 วัน ถ้าขาดโดยไม่มีเหตุอันควร ก็จะถูกให้ออกจากราชการ โดยมีการเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ได้เคยเข้าให้การเมื่อวันที่ 24 พ.ย. จากนั้นก็ขาดการติดต่อ