เป็นข่าวฮือฮาพอสมควรทีเดียวสำหรับหนังสือเรื่อง “Thailand : Deadly Destination” ที่เขียนโดย John Stapleton นักเขียนนักข่าวชาวออสเตรเลีย
ผมไม่แน่ใจว่าหนังสือออกวางจำหน่ายหรือยัง เพราะที่เป็นข่าวโด่งดังนั้นเกิดขึ้นก่อนหนังสือวางตลาด คล้ายๆกับบ้านเราเวลาจะแนะนำเปิดตัวหนังสือใหม่ก็จะแจกข่าวออกไปว่าหนังสือเล่มนี้มีสาระอะไรบ้าง
ข่าวที่แพร่หลายเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจึงเป็นข่าวที่สรุปจากหนังสือ เล่มใหม่ที่ยังไม่ได้วางตลาด และส่วนใหญ่ก็คัดลอกมาแต่เฉพาะเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวในบ้านเราทั้งสิ้น
ถูกฆ่า ถูกปล้น ถูกทำร้าย และไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือการให้บริการที่ดีจากตำรวจและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เกี่ยวข้อง
เขายกตัวเลขที่เผยแพร่โดยรัฐบาลอังกฤษมาบอกกล่าวด้วยว่า ระหว่างปี 2011-2012 มีนักท่องเที่ยวอังกฤษเสียชีวิตในประเทศไทยถึง 296 คน และในปี 2013 ตัวเลขสูงถึง 389 คน
สำหรับจอห์น สเตเพิลตัน ชาวออสซี่ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ ตามประวัติว่าเคยมาเมืองไทยหลายครั้ง อาชีพเก่าของเขาก็คือเป็นนักข่าวให้หนังสือพิมพ์ “ซิดนีย์ มอร์นิ่งเฮรัลด์” กับ “ดิ ออสเตรเลียน”
เท่าที่ผมอ่านจากบทคัดย่อที่สำนักข่าวต่างๆสรุปก็รู้สึกใจหายพอสมควร และก็คงจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในหลายๆด้าน
รวมทั้งการตั้งชื่อเรื่อง แค่เห็นตัวโตบนหน้าปกหนังสือก็สะดุ้งแล้ว เพราะแปลเป็นภาษาไทยตรงไปตรงมาก็คือ “ประเทศไทย...จุดหมายปลายทางมรณะ” หรือ “จุดหมายปลายทางแห่งความตาย” นั่นเอง
แต่เดิมนั้นประเทศไทยโดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ของเรา เคยได้รับการยกย่องว่า “เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวอยากไปเที่ยว” มากที่สุด เป็นอันดับ 1 ของโลก จากการสำรวจของบริษัทบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดที่ทั่วโลกรู้จักดี
...
สามารถเอาชนะ มหานครลอนดอน ได้หลายปี เพิ่งจะมาเสียตำแหน่งโดยหล่นมาเป็นที่ 2 ในปีนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนขึ้นในประเทศไทยหลายเรื่อง
เมื่อมาโดนกล่าวหาว่าเป็น “จุดหมายปลายทางมรณะ” เข้าอีกเช่นนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเกิดผลกระทบมากน้อยแค่ไหน?
แน่นอน...ทุกๆครั้งที่มีคนเขียนถึงประเทศไทยในทางเสียหาย ผมจะรู้สึกไม่สบายใจ และบางครั้งก็อดที่จะสงสัยมิได้ว่า คนเขียนนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ถึงมาแขวะประเทศไทยของเรา
กรณีนี้ก็เช่นกัน ผมก็อดที่จะรู้สึกในลักษณะนี้ขึ้นมาแว่บหนึ่งเสียมิได้ ตามประสาคนชาตินิยม
แต่เมื่อกลับมานั่งนึกนั่งคิดใช้สติไตร่ตรอง ก็เห็นใจเขาครับ เพราะเขารับตรงๆว่าเขาเองก็เคยเจอเรื่องร้ายๆในบ้านเราหลายเรื่องเวลามาเที่ยว
ถ้าเป็นเราไปเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ซิดนีย์ หรือเมลเบิร์นบ้างก็คงจะทนไม่ไหวเช่นกัน
ฉะนั้น หนทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือต้องยอมรับความจริงว่า ทุกวันนี้บ้านเราค่อนข้างปล่อยปละละเลยและหละหลวมมาก ทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ
แก่นักท่องเที่ยวบ่อยๆครั้ง และทุกครั้งที่เกิดเหตุมักจะส่งผลกระทบกว้างขวาง เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลกอยู่เสมอ
ก็คงจะต้องหาทางป้องกัน หาทางควบคุมดูแล โดยเฉพาะตำรวจไทยจะต้องรีบปฏิรูปตัวเองอย่างที่ใครต่อใครเสนอเอาไว้มากมายแล้ว เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวมากขึ้น (แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทุ่มเทไปดูแลนักท่องเที่ยวเสียหมด จนไม่ดูแลคนไทย)
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอื่นๆก็จะต้องปรับปรุง จะต้องเพิ่มเสน่ห์ เพิ่มบริการ เพิ่มรอยยิ้ม ให้มากขึ้นไปมากกว่านี้อีก
รวมทั้งคนไทยเรา ก็คงจะยิ้มแย้มแจ่มใส เลิกทะเลาะกันเสียที เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศ
ส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ก็ว่ากันไป แต่พึงตระหนักอยู่เสมอว่า การประชาสัมพันธ์ด้วยของจริง ทำให้นักท่องเที่ยวเขามาไทยแล้วสนุกจริง ปลอดภัยจริง จนเขาเอาไปพูดปากต่อปากจะดีที่สุด
ผมยังเชื่อครับว่าถ้าเราทำทั้ง 2 อย่างควบคู่ไปอย่างนี้ ต่อไปเมืองไทยจะกลับมาเป็นแชมป์ Destination หรือจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวเหมือนเดิมในไม่ช้า.
“ซูม”