เมื่อปลายปี 2554 หลายคนคงจดจำเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ จนรู้จัก "น้องน้ำ" ได้เป็นอย่างดี โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในขณะนั้นการันตีเป็นอย่างดีว่า "เอาอยู่" แต่สุดท้ายแล้วก็ "เอาไม่อยู่" ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เริ่มมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา จนสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2555 นับเป็นสถานการณ์น้ำท่วมที่หนักที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ในรอบ 70 ปี
พิษ "น้องน้ำ" ส่งผลรุนแรงทำให้ราษฎรต้องอพยพเข้าสู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ โดยมีประชากรได้รับผลกระทบประมาณ 12.8 ล้านคน อีกทั้งยังได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 800 คน ด้านธนาคารโลก ได้ประเมินมูลค่าความเสียหายของภัยธรรมชาติครั้งนี้สูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท


...
สถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ได้เริ่มขึ้นระหว่างฤดูมรสุมพายุเข้าทางตอนเหนือของเวียดนาม ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยจนเอาไม่อยู่ จึงเกิดอุทกภัยไหลท่วมไปในหลายจังหวัด ภายในสัปดาห์แรกของอุทกภัยก็มีรายงานผู้เสียชีวิตถึง 30 คน แต่ขณะนั้น "น้องน้ำ" ก็ยังไหลและดำเนินต่อไป โดยที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก และภายในเวลาไม่นานภัยของ "น้องน้ำ" ก็ลุกลามไปทางใต้
เมื่อแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับน้ำปริมาณมาก จึงส่งผลต่ออีกหลายจังหวัดภาคอื่นๆ เพิ่มเติม เนื่องด้วยเขื่อนส่วนใหญ่มีระดับน้ำที่มากเกินความจุ โดยมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจำนวน 65 จังหวัดจาก 76 จังหวัดของประเทศไทย "น้องน้ำ" ได้ไหลครอบคลุมทั้งเจ้าพระยาตอนบนจนถึงเจ้าพระยาตอนล่างในภาคกลาง


ด้านเขตพื้นที่เศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรมก็ "เอาไม่อยู่" เช่นกัน ต่างได้รับผลกระทบจาก "น้องน้ำ" จำนวนมาก จนทำให้หลายโรงงานต้องปิดลง หรือแม้กระทั่งต้องทำลายสินค้า ยกตัวอย่าง ที่โรงงานรถยนต์ฮอนด้า ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถูก "น้องน้ำ" ทลายท่วมท้นอย่างหนัก จนสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ที่จอดรอส่งมอบลูกค้า และเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า บริษัทก็ได้มีพิธีทำลายรถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วมทั้งหมด 1,055 คัน ส่งผลให้บริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่นต้องหยุดผลิต นอกจากนี้ น้องน้ำ ยังไหลเข้าท่วมเขตพื้นที่เศรษฐกิจโรงงานอีกมากมาย ทั้งนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมนวนคร เป็นต้น
สำหรับกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย ก็ "เอาไม่อยู่" แต่อย่างใด แม้รัฐบาลสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ในขณะนั้น จะประกาศลั่นว่า "เอาอยู่" แต่แล้ว น้องน้ำ ก็เริ่มไหลเข้าท่วมแถบรังสิต มวลน้ำก้อนใหญ่ที่ไหลมาจากภาคเหนือตามลำน้ำเจ้าพระยา ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ กทม. กำลังก้าวเข้าสู่วิกฤติ ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็เริ่มประกาศให้ทั้ง 50 เขตรับมือเตรียมความพร้อมกับ "น้องน้ำ" ที่กำลังจะไหลมา รัฐบาลระดมขน "บิ๊กแบ็ก" ลอตใหญ่ มารับมือกับมวลน้ำมหาศาล

...

ด้านการเป็นอยู่ของประชาชน สินค้าหลายอย่างเริ่มขาดแคลน ผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตวัตถุดิบ หรือขนส่งสินค้าให้ทันต่อความต้องการต่อผู้บริโภคได้ เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างกังวลจนแห่กักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบากในการซื้อหา
ประกอบกับความกังวลเรื่องการขึ้นราคาสินค้า จึงต่างแย่งซื้อสินค้า และครั้งนั้นถือเป็นประวัติการณ์ที่ต้องจดจำกับภาพแผงหรือชั้นวางสินค้าภายในร้านสะดวกซื้อต่างโล่งแทบไม่มีสินค้าหลงเหลือ หรือหากจะมีก็เพียงประปราย ส่วนสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุทกภัย อาทิ ทราย อิฐบล็อก และวัสดุ ป้องกันน้ำท่วม ไม่ต้องพูดถึงขายดีเทน้ำเทท่า ขณะที่เรือไฟเบอร์ ราคาพุ่งกระฉูด เป็นโอกาสทองของพ่อแม่ค้าในขณะนั้น

...

กระทั่ง "น้องน้ำ" ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จากประชาธิปปัตย์ และฝ่ายรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย เมื่อ "น้องน้ำ" ขยายแผ่ท่วมในวงกว้างมากขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีคำสั่งให้กรุงเทพมหานครเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวา 1 เมตร แต่ฝ่าย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องการให้เปิดเพียง 75-80 เซนติเมตร พร้อมระบุการเปิดประตูระบายน้ำต้องมีเหตุผลทางเทคนิคไม่ใช่ยอมตามอารมณ์ได้ แม้มีคนคัดค้านก็ตาม แต่ทั้งนี้เมื่อถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมในกรุงเทพฯ ขยายวงกว้างมากขึ้น โดยในที่สุดแล้ว "น้องน้ำ" ได้ไหลท่วมเข้ากรุงเทพมหานครทั้งหมด 36 เขต จาก 50 เขต

...

จากกรณีอุทุกภัย น้ำท่วมประเทศไทยในครั้งนี้ทำให้เราเห็น น้ำใจ ของคนไทยที่มากกว่าปริมาณ น้องน้ำ เสียอีก ไม่ว่าจะทางฝ่ายเอกชนที่คอยช่วยเหลือเต็มที่ทั้งถุงยังชีพ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หรือแม้กระทั่งทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่น้อยหน้าเข้าช่วยเหลือทุกพื้นที่ ทั้งตั้งศูนย์อพยพ ให้ประชาชนได้พักพิงอาศัย ดูแลการเป็นอยู่ ตลอดจนป้องกันน้ำอย่างสุดความสามารถ
อย่างไรก็ตามในปี 2557 นี้ประชาชนคงไม่ต้องหวั่นกลัวว่า "น้องน้ำ" จะมาเยี่ยมเยียนอีกแล้ว แม้ฝนจะตกหนักในภาคใต้ แต่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง กลับกลายเป็นว่าอยู่ในภาวะวิกฤติภัยแล้ง เขื่อนหลายแห่งมีปริมาณน้ำต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จนทำให้ต้องประกาศงดการจัดสรรน้ำเพื่อทำนาปรังในหลายพื้นที่เลยทีเดียว
แม้ผ่านมา 3 ปีแล้ว หลายคนยังคงจดจำภัยของ "น้องน้ำ" คราวนั้นได้ดี แต่หลายคนก็คงไม่อยากจดจำเพราะภัยครั้งนั้นได้ทำทรัพย์สินเสียหายไม่มากก็น้อย แม้ภาครัฐมีเงินชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้ประสบภัยก็ตาม แต่ทั้งนี้ภายในความโชคร้าย เราก็ยังเห็นความดีของคนไทย ที่มีน้ำใจ ต่อกันอย่างมากมายจากทุกวงการ.