ปวีณานำทีมบุกทลาย เด้ง3เสือสภ.ดอนตูม
มูลนิธิปวีณาฯ ร่วมกับตำรวจ ปคม. บุกทลายซ่องใน อ.ดอนตูม จ.นครปฐม เปิดเป็นร้านคาราโอเกะบังหน้า ด้านหลังเปิดค้าประเวณีให้หนุ่มนักเที่ยวกลัดมัน ช่วยชีวิตแม่หญิงลาวพ้นขุมนรกได้ 23 คน มีผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี ถึง 14 คน แถมยังมีเด็กหญิงรวมอยู่ด้วย แฉถูกพ่อเล้าและแมงดาบังคับให้ขายตัว ถ้าไม่ทำตามโดนซ้อมทารุณ จำต้องฝืนยิ้มให้ลูกค้าทั้งที่จิตใจแสนระทม “เจ๊ปิ๊ก” ระบุเป็นปัญหาการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ต้นเหตุทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียงในเวทีโลก “ผบช.ภ.7” เต้น สั่งเด้ง 3 เสือโรงพักเจ้าของพื้นที่ทันที ฐานปล่อยปละละเลย
บุกทลายซ่องช่วยเหลือสาวลาวพ้นขุมนรกครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 23.45 น.วันที่ 4 พ.ย. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมด้วยตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) กว่า 20 นาย นำโดย พล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผบก.ปคม. พ.ต.ท.อรรณพ สังข์เสน สว.กก.1 บก. ปคม. ร.ต.อ.พิษณุ เตรียมดี รองสว.กก.1 บก.ปคม. บุกเข้าตรวจค้นร้านน้องฟิวส์ คาราโอเกะ เลขที่ 14/3-5 ต.สามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ช่วยเหลือหญิงสาวที่ถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศ หลังจาก น.ส.ฝ้าย (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ชาวลาว ส่งข้อมูลให้กับมูลนิธิปวีณาฯ ขอให้เข้าช่วยเหลือเพื่อนชื่อ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ชาวลาว ที่ถูกหลอกและบังคับให้ขายตัวที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าว
จากการตรวจค้นร้านน้องฟิวส์ คาราโอเกะ พบด้านหน้าตั้งเป็นซุ้มดอกเห็ดมุงหลังคาใบจาก ขายอาหารและเครื่องดื่ม ด้านในมีห้องคาราโอเกะชนิดตู้หยอดเหรียญ 2 ตู้ ส่วนด้านหลังจัดแบ่งซอยเป็นห้องๆ จำนวน 12 ห้อง ไว้บริการลูกค้าที่เลือกหญิงสาวในร้านไปร่วมหลับนอนแบบชั่วคราว ระหว่างนั้นมีนายสุทิน วาจาดี อ้างเป็นผู้จัดการร้าน จึงควบคุมตัวไว้ ตรวจสอบหลังร้านพบหญิงสาวจำนวนมากนุ่งน้อยห่มน้อย นั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องเล็กๆ เปิดไฟแสงสีแสบตา ทันทีที่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือ หญิงสาวบางรายถึงกับปล่อยโฮแล้วโผเข้ากอดเจ้าหน้าที่
...
ตรวจสอบพบภายในร้านมีหญิงสาวชาวลาว รวม 23 คน แยกเป็นผู้ถูกบังคับขายบริการ 17คน และผู้สมัครใจ 6 คน ในจำนวนผู้ถูกบังคับ มีอายุต่ำกว่า 14 ปี 3 คน อายุ 15 ปี 5 คน อายุ 16 ปี 4คน อายุ 17 ปี 2 คน ส่วนอีก 3 คน อายุ 20 ปี เบื้องต้นทราบว่า สาวลาวส่วนใหญ่เดินทางมาจากแขวงสะหวันนะเขต และกำแพงนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว จากนั้นนำตัวทั้งหมดขึ้นรถตู้ เดินทางเข้ารับการคุ้มครอง ที่สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ โดยหญิงสาวที่สมัครใจทั้ง 6 คน ต่อมาตำรวจ ปคม. ขอรับตัวไปสอบปากคำขยายผลเพิ่มเติม
น้องนุ้ย (นามสมมติ) อายุ 15 ปี หญิงสาวชาวลาวเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ตนกับเพื่อนสาวถูกหลอกมาทำงานที่ร้านน้องฟิวส์ คาราโอเกะ เมื่อราว 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีนายหน้าจากฝั่งไทยไปตระเวนตามหมู่บ้าน ชักชวนให้มาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารฝั่งไทย บอกรายได้ดีเลยตัดสินใจมา โดยถือพาสปอร์ตเข้ามาแบบนักท่องเที่ยว แต่เมื่อมาถึง ที่ร้านกลับถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศกับแขกที่มาเที่ยวครั้งละ 700-1,000 บาท ให้เวลานักเที่ยวครั้งละไม่เกิน 30 นาที พวกตนได้ส่วนแบ่งครั้งละ 150-200 บาท ที่เหลือเจ้าของร้านเอาไปหมด และจะถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปไหน ถูกจัดให้นอนในห้องใหญ่รวมกันหลังร้านสภาพแออัด หมักหมม สกปรก เหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่ต้องจำทน ไม่กล้าขัดขืน เพราะกลัวถูกฆ่าตามคำขู่ แถมยังจำใจฝืนยิ้มพูดคุยกับแขกนักเที่ยว หากใครไม่ทำจะถูกตบตี
นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ ที่จะต้องป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกตราหน้าว่ามีการค้ามนุษย์ในระดับต้นๆ ถูกขึ้นบัญชีดำจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก ทำให้เสียชื่อเสียง ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐ เร่งขยายผลจับกุมผู้เป็นธุระจัดหา และเจ้าของสถานบริการ มาดำเนินคดี ซึ่ง พล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผบก.ปคม. ได้กำซับเจ้าหน้าที่ให้ขยายผลสอบสวนที่มาของหญิงลาวทั้งหมดว่าถูกหลอกเข้ามาทำงานได้อย่างไร เส้นทางการเข้าประเทศ รวมทั้งขบวนการค้ามนุษย์ที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยและ สปป.ลาว เพื่อสาวถึงต้นตอและปราบปรามให้สิ้นซาก
วันเดียวกัน พล.ต.ท.วีระพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.7 มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.บุญเลิศ บวรมหาชนก ผกก.สภ.ดอนตูม พ.ต.ท.ธานี สงวนจีน รอง ผกก.ป. สภ.ดอนตูม และ พ.ต.ท.ประทีป พันธ์หว้า รอง ผกก.สส.สภ.ดอนตูม ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร ภาค 7 มีกำหนด 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.57 เป็นต้นไป โดยให้ไปรายงานตัวต่อศูนย์ปฏิบัติการ ตร.ภ.7 ภายในเวลา 15.00 น.
พล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร รอง ผบช.ภ.7 เผยว่า เรื่องสถานบริการที่มีการค้าประเวณีนั้นได้กำชับเป็นพิเศษว่าห้ามมีโดยเด็ดขาด แต่ก็ยังหละหลวมไม่สอดส่องดูแลพื้นที่ กระทั่งมีเหตุนี้เกิดขึ้น จึงต้องย้ายตามระเบียบ สตช. พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบว่ามีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ หากพบจะต้องถูกลงโทษเช่นกันไม่มีการละเว้น