Trendy Review สัปดาห์นี้ รีวิวจัดหนักจัดเต็มกับ Samsung Galaxy Note 4 เป็นมากกว่าสมุดจดโน้ตไฮเทค แฟ็บเล็ตรุ่นล่าสุดมีการปรับปรุงไปในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องสเปกของฮาร์ดแวร์ ลูกเล่นต่างๆ...
และแล้วมันก็มาอยู่ในมือของผมจนได้ครับ Samsung Galaxy Note 4 ที่ Samsung ขาย(บางส่วน)ในงาน Thailand Mobile Expo 2014 และจะเปิดให้จองด้วยในเวลาเดียวกัน (สำหรับคนที่ซื้อไม่ทัน) โดยตั้งราคาเอาไว้ 24,900 บาทครับ เฉพาะในงานเท่านั้น แต่หลังจากนั้นราคาค่าตัวจะอยู่ที่ 25,900 บาท เรียกว่าอัพราคาขึ้นมาจาก Samsung Galaxy Note 3 LTE อยู่ 1,000 บาทเลยครับ ซึ่งหากใครติดตามข่าวคราวจะทราบดีกว่า Samsung Galaxy Note 4 นี่ มีการปรับปรุงไปในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องสเปกของฮาร์ดแวร์ ลูกเล่นต่างๆ ตลอดไปจนถึงวัสดุที่ใช้ในการประกอบตัวเครื่องกันเลยทีเดียว …ฉะนั้นก็คงต้องคิดเอาว่า ราคาที่เพิ่มมา มันคือค่าอะลูมิเนียมละกัน (ฮา)
เมื่อได้มารีวิวแล้ว ก็ต้องจัดการรีวิวแบบจัดหนักจัดเต็มซักหน่อยนะครับ …นี่คือ ความเห็นของผม จากการได้สัมผัสแบบจัดเต็มๆ Samsung Galaxy Note 4 มา 5 วันเต็มเหนี่ยวครับ
...
รูปร่างและหน้าตาของ Samsung Galaxy Note 4
หากมองในแง่ของ “รูปร่างหน้าตา” แบบเผินๆ ต้องขอบอกว่า มันไม่ได้มีอะไรโดดเด่นในรูปลักษณ์ครับ เรียกว่าถ้าเอามาถือไว้แล้วไม่บอก ใครๆ ก็อาจจะนึกว่านี่คือ Samsung Galaxy Note 3 ก็เป็นได้ … มันคือสิ่งที่ Samsung ต้องทำใจ เพราะว่าขนาดของตัวเครื่องไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากนัก
แต่หากได้สัมผัสแบบใกล้ชิด จะรู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงครับ … สัมผัสแรก รู้สึกได้เลยว่า ขอบๆ ตัวเครื่องมันแข็งแล้ว (ฮา) เพราะมันใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมในการทำ เพียงแต่ว่าไม่ได้ทำแบบสีสันอะลูมิเนียมเป็นสีเงินๆ นะ แต่ทำการลงสีให้เข้ากับดีไซน์สีต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note 4 ด้วย … โดยความเห็นส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบขอบอะลูมิเนียมเท่าไหร่ เพราะเวลาถือมือเดียว จับแล้วมันรู้สึกแข็งๆ เจ็บมือ (ผมเลยไม่ชอบความรู้สึกเวลาจับ iPhone 4/4S/5/5S ด้วย) แต่พอใช้ๆ งานไปซักหลายๆ วัน มันเริ่มชินครับ (ฮา) และหากเราใช้งานสองมือ เราก็จะไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย
นอกจากนี้ ผมว่ามันดูดีกว่ารุ่นก่อนๆ ที่ใช้ขอบพลาสติกเคลือบโครเมียมทำให้ดูเงาๆ เพราะแบบนั้นเวลาใช้ไปนานๆ หากไม่รักษาให้ดีๆ มันลอกออกมา ดูไม่สวยอย่างแรง
ด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 4 เป็นหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียดสูงลิบระดับ 2K 2560×1440 พิกเซล (515ppi) พร้อมปุ่มกดมาตรฐาน(ใหม่) ของ Samsung คือ Recent, Home และ Back ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าปุ่มกดนี่ สามารถใช้เป็นตัวอ่านลายนิ้วมือได้ด้วย … แน่นอน มี ลำโพงโทรศัพท์ มี Proximity sensor และ เซ็นเซอร์วัดแสงมาให้ และที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกอย่างก็คือ กล้องดิจิตอลด้านหน้า เป็นความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซลแล้ว และเป็นแบบ F1.9 เลนส์มุมกว้าง 90 องศาด้วย เรียกว่า ออกแบบมาเพื่อถ่าย Selfie โดยเฉพาะเลย
ตัวกระจกของหน้าจอ จะเป็นแบบที่มีโค้งเล็กๆ (เล็กมาก) ทำให้เวลาสัมผัสแล้วมันจะรู้สึกเนียนๆ ลื่นๆ อันนี้เป็นสไตล์ที่เราเคยเจอใน Samsung Galaxy Note 2 มาแล้ว เป็นสไตล์ที่สมัยนั้นหาฟิล์มกันรอยติดยากมาก เพราะมันติดกับหน้าจอโค้งๆ ไม่ค่อยอยู่ … แต่ปัจจุบันเห็นมีฟิล์มแบบบางพิเศษมาแล้ว เขาว่าใช้ติดกับพวกหน้าจอโค้งๆ โดยเฉพาะเลยนะ (โดยส่วนตัวยังไม่มีเวลาไปลอง)
ด้านหลังเป็นแบบ Faux Leather อีกเช่นเคย แต่ว่าลวดลายเปลี่ยนไปนิดหน่อย กล้องดิจิตอลได้รับการอัพเกรดมาเป็น 16 ล้านพิกเซล พร้อม Optical Image Stabilizer (OIS) แล้ว (เมื่อก่อนไม่เคยมี) พร้อมแฟลชด้วย มีลำโพงของตัวเครื่องอยู่ด้านล่างๆ ตามสไตล์เดิม
...
เช่นเคย ด้านล่างของตัวเครื่องยังคงเป็นที่เสียบ S Pen สไตลัสมาตรฐานของ Samsung Galaxy Note อยู่ครับ ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ผมไม่ได้เห็นความแตกต่างอะไรมากนัก กับ S Pen รุ่นก่อนหน้า … แต่จากที่ลองเอาไปให้เพื่อนๆ สัมผัสกันมา มีคนทักว่าช่องเสียบ S Pen งวดนี้มันดู “เนียน” ขึ้น คือ ใส่เข้า เอาออก มันเนียนๆ แบบที่อธิบายไม่ถูก … เอ้า! ก็ว่ากันไป
...
ที่เพิ่มเข้ามาจากสมัย Samsung Galaxy Note 3 อีกสองอย่างก็คือ เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันมาแน่ เพราะ Samsung Galaxy S5 เขามีแล้ว … ส่วนที่เพิ่มมาก็คือ UV Sensor ครับ เอาไว้วัดค่าความเข้มของแสง UV ซึ่งทั้งสองเซ็นเซอร์นี้ จะเอาไว้ใช้คู่กับ S Health ครับผม
ด้านบนของ Samsung Galaxy Note 4 นั้น จะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. รูไมโครโฟนสำหรับอัดเสียงเวลาถ่ายวิดีโอ ใช้ตอนอัดเสียงด้วย App ตระกูล Sound recorder และเป็น Noise cancellation ด้วย และที่เห็นเป็นจุดดำๆ ใหญ่ๆ อีกจุดคือ พอร์ตอินฟราเรดครับ ทำให้ใช้ Galaxy Note 4 เป็นรีโมตได้ด้วย
...
ด้านล่างของ Samsung Galaxy Note 4 ก็จะเห็นบั้นท้ายของ S Pen แบบชัดๆ มีพอร์ต Micro USB 2.0 และรูไมโครโฟนอีก 2 รู สำหรับการสนทนาโทรศัพท์ และการอัดเสียง ซึ่งตรงนี้ Samsung บอกว่า จะทำให้สามารถบันทึกเสียงได้ดียิ่งขึ้นน่ะ … ดีไซน์ที่แตกต่างไปจาก Samsung Galaxy Note 3 นิดๆ ก็คือ มันดูมีโค้งมีเว้ามานิดหน่อยครับ
ด้านซ้ายของ Samsung Galaxy Note 4 มีแค่ปุ่มปรับระดับเสียง แต่สังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่าขอบมันจะดูเว้าๆ ลงมาหน่อย อันนี้คงเพื่อความสวยงามมากกว่า เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าการเว้าลงมานี่ จะช่วยให้สัมผัสดีขึ้น หรือ กระชับขึ้นแต่อย่างใด
ด้านขวาของ Samsung Galaxy Note 4 ก็มีแค่ปุ่ม Power ครับ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่ความเห็นส่วนตัวของผมนะ เมื่อขนาดของตัวเครื่องมันใหญ่แล้ว ก็อยากจะให้มันมีปุ่มชัตเตอร์จริงๆ เพราะด้วยขนาดหน้าจอใหญ่ขนาดนี้ การจะกดปุ่มชัตเตอร์บนหน้าจอมันไม่สะดวกซักเท่าไหร่ และแม้ว่าจะมีฟีเจอร์จำพวก ถ่ายด้วยเสียง หรือการนับเวลาถอยหลัง อะไรแบบเนี้ย มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเวลาจะให้คนอื่นช่วยถ่ายรูปให้
เหลือบไปเห็นร่องเล็กๆ เอาไว้แกะฝาหลัง … เช่นเคย สไตล์ของ Samsung ครับ สมาร์ทโฟนดีไซน์ออกมาให้แกะฝาหลังออกมาได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำสมาร์ทโฟนบางๆ ออกมาได้อีกนะเรา … ตรงนี้เห็นได้ชัดเจน Samsung Galaxy Note 4 ไม่กันน้ำนะครับ อย่าไปคิดว่า Samsung Galaxy S5 กันน้ำ แล้วรุ่น Flagship ถัดๆ มาจะต้องเป็นแบบเดียวกันล่ะ
ที่แปลกใจคือ หลังจากที่ทั้ง Samsung Galaxy Note 3 และ Samsung Galaxy S5 เปลี่ยนมาใช้พอร์ต Micro USB 3.0 กันหมดแล้ว ไหง Samsung Galaxy Note 4 ดันไปใช้ Micro USB 2.0 ซะล่ะนั่น … ได้ยินแว่วๆ ว่า เหตุผลคือ เพื่อให้พอร์ตมันเข้ากับสายเคเบิล Micro USB 2.0 ได้ แต่ผมว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนัก เพราะพอร์ต Micro USB 3.0 นั้น สามารถใช้กับ Micro USB 2.0 ได้อยู่แล้ว
และเมื่อมองในแง่ของการใช้งาน พอร์ต Micro USB 3.0 นั้น ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วกว่า Micro USB 2.0 มากมาย และคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ก็รองรับ USB 3.0 กันแล้ว อีกทั้ง Samsung Galaxy Note 4 ก็ถ่ายวิดีโอความละเอียด UHD (หรือบางคนเรียก 4K) ได้แล้ว ซึ่งมันให้ไฟล์วิดีโอที่ใหญ่มากๆ คือ ถ่ายวิดีโอราวๆ 3 นาทีก็กินเนื้อที่ไป 800MB-1GB แล้วนะครับ หากการถ่ายโอนข้อมูลไม่เร็วพอ ได้มีรอกันจนเงก
สเปกและประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy Note 4
Samsung Galaxy Note 4 มีวางจำหน่าย 2 รุ่น แต่รุ่นที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยก็คือรุ่นที่ใช้ชิป Exynos 5433 ของ Samsung เองครับ แต่ว่าชิปตัวนี้มีการปรับปรุงในหลายๆ ด้านแล้ว เช่น เป็น CPU 64-bit ที่พร้อมจะรองรับระบบปฏิบัติการ Android L ตัวใหม่ (ที่ยังไม่มา) อย่างเต็มที่ และคราวนี้ใช้ความสามารถ HMP (Heterogeneous Multi-Processing) หรือ ให้ CPU ในส่วนของ big และ LITTLE สามารถทำงานได้พร้อมๆ กัน 8-core เลย ซึ่งช่วยทั้งด้านประสิทธิภาพ (เพราะหลายหัวดีกว่าหัวเดียว) และประหยัดพลังงาน (เพราะงานเบาๆ ให้ Quad-core ส่วนที่เป็น LITTLE ที่กินพลังงานต่ำกว่าเป็นคนทำ ส่วนงานหนักๆ ก็ยกมาให้ Quad-core ส่วนที่เป็น big ที่ประสิทธิภาพสูงกว่าเป็นคนทำ)
เอาล่ะ มาดูสเปกกันแบบเต็มๆ ดีกว่า … ผมยึดของที่จะจำหน่ายในประเทศไทยเป็นหลักนะครับ
• CPU: Exynos 5433 Octa-core (Quad-core Cortex-A53 1.3GHz + Quad-core Cortex-A57 1.9GHz)
• GPU: Mali-T760
• Display: Super AMOLED 5.7″ 2560×1440 พิกเซล (515ppi)
• RAM: 3GB
• Internal storage: 32GB
• External storage: รองรับ MicroSD card สูงสุด 128GB
• Operating System: Android 4.4.4 Kit Kat
• Connectivity
• ชนิดของซิม: Micro SIM
• 2G: 850/900/1800/1900MHz
• 3G: 850/900/1900/2100MHz
• 4G: LTE Cat 4
• WiFi: 802.11a/b/g/n/ac Dual-band
• Bluetooth: 4.1, A2DP, EDR, LE
• Infrared port: มี
• NFC: มี
• Camera
• ด้านหน้า: 3.7 ล้านพิกเซล
• ด้านหลัง: 16 ล้านพิกเซลพร้อม LED Flash
• Battery: 3,220mAh
• Dimensions: 153.5 มม. x 78.6 มม. x 8.5 มม.
• Weight: 176 กรัม
• Others: S Pen, Finger Print Scanner, UV Sensor, Barometer, Heart Rate Sensor
• Price: 25,900 บาท
ดูจากตรงนี้แล้ว สเปกเรียกว่าจัดหนักจัดเต็มกันเลยทีเดียวครับ คำถามก็คือ ตัวเลขสเปกมาขนาดนี้แล้ว แล้วหากวัดประสิทธิภาพด้วย Benchmark ต่างๆ จะเป็นยังไง … มาดูผลการวัดประสิทธิภาพกันบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าผมใช้ซอฟต์แวร์ Benchmark ตามนี้เลยครับ
• Quadrant Advanced และ AnTuTu Benchmark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพในภาพรวม
• MobileXPRT 2013 เพื่อประเมินประสบการณ์ในการใช้งานทั่วๆ ไป โดยทดสอบเรื่อง
• การตกแต่งภาพแบบต่างๆ การตรวจจับใบหน้าคนในรูป
• การเข้ารหัสข้อมูล
• ความลื่นไหลของอนิเมชั่นในการ Scroll ข้อมูลบนหน้าจอ
• 3DMark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิก 3D
• Vellamo Mobile Web Benchmark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานด้านเว็บ
• Geekbench สำหรับการวัดประสิทธิภาพการประมวลผลในภาพรวม โดยแบ่งเป็น Single-core และ Multi-core
ผลลัพธ์ที่ได้ ก็ตามตารางด้านล่างนี่เลยครับ
คะแนนที่ได้ของ Samsung Galaxy Note 4 นี่เรียกว่า ทะลุทะลวงมาก เปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยที่มีผู้ทำการทดสอบแล้วส่งเข้าไป ชัดเจนเลยทีเดียวว่าเหนือกว่าหลายๆ ยี่ห้อในบัดดล … อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้ เพราะยังไม่มียี่ห้อไหนทำ Flagship ที่ใช้ชิปรุ่นใหม่ๆ อย่าง Snapdragon 805 ออกมาน่ะครับ … แต่เท่านี้ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องห่วงเรื่องการใช้งานครับ ประสิทธิภาพเหลือเฟือ
ประสบการณ์ในการใช้งาน Samsung Galaxy Note 4
อันดับแรกเลยเทียบกับ Samsung Galaxy Note 3 แล้ว ขนาดไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ยาวกว่านิด ผอมกว่าหน่อย หนากว่านิดนึง ในระดับที่ไม่รู้สึกอะไรชัดเจนหรอกครับ แต่จากการที่เอาอะลูมิเนียมมาทำเป็นบอดี้ของตัวเครื่องส่วนนึง มันทำให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมมันเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว
เช่นเคย Samsung ก็ยังคงมาสไตล์ระบบปฏิบัติการ Android มาตรฐาน คือ มีแบ่งออกเป็น Lock screen, Home screen และ App tray อยู่ แต่ตัว User Interface มันให้ความรู้สึกของ Minimalism มากกว่าเวอร์ชั่นก่อนๆ ครับ และที่เพิ่มเข้ามาก็คือการใช้ตัวสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกหน้าจอได้ ซึ่งการทำงานก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก Samsung Galaxy S5 ดังนั้นก็เลยมีข้อจำกัดคล้ายๆ กันครับ นั่นก็คือ บันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุดแค่ 3 นิ้วเท่านั้นเอง
แต่ถามว่าจำเป็นไหมที่จะต้องสแกนได้ครบ 10 นิ้ว ผมว่ามันก็ไม่ค่อยจะจำเป็นสักเท่าไหร่ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ผมก็ให้มันจำแค่นิ้วโป้งสองข้างของผมนั่นแหละ เผื่อจะปลดล็อกจากมือข้างไหนก็ทำได้เลย … เพียงแต่เทคนิคในการบันทึกลายนิ้วมือก็คือ มันจะมีโอกาสให้เราบันทึกได้ 10 ครั้ง ให้เราปาดนิ้วในมุมต่างๆ ให้ครบๆ ครับ ทั้งปาดมาตรงๆ ปาดแบบทแยงข้างๆ หรือลองปาดในลักษณะของการถือแบบมือเดียวด้วย ทั้งนี้เพื่อเวลาที่จะใช้งาน เราก็จะได้ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องสแกนท่าไหนน่ะ
ตัว Notifications และ QuickSettings นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากครับ ก็เป็นพวกฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ Samsung Galaxy รุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S5 หรือ Galaxy Note 3 เขาก็มีมาแล้ว เพียงแต่มีการปรับ User Interface และการใช้งานให้สะดวกขึ้นในบางอย่าง เช่น Multi window ที่ตอนนี้ไม่ต้องรอกดปุ่ม Back ค้างไว้เพื่อเปิดแถบ Multi window ขึ้นมาเลือก App แล้ว แต่เราสามารถเลื่อนนิ้วจากมุมด้านบนของหน้าจอ (ซ้ายหรือขวาก็ได้) ลงมา เพื่อปรับขนาด App ให้กลายเป็น Pop-up ได้เลย แล้วก็ค่อยเลือกว่าจะแบ่งเป็น Split screen ไหมอีกที
แน่นอนว่าการกดปุ่ม Back ค้างไว้ เพื่อเรียก Multi window bar ขึ้นมามันก็ยังมีอยู่นะครับ แต่การย่อ App ลงมาได้เลย มันสะดวกกว่าไง … แต่กรณีของคนมือใหญ่ๆ ชอบใช้งาน Samsung Galaxy Note ด้วยมือข้างเดียวแบบผม ผมก็พบว่ามันไม่สะดวกเวลาที่เราอยากจะเรียก แถบ Notifications/QuickSettings ลงมานะ เพราะปกติด้วยขนาดหน้าจอใหญ่ เราจะต้องปาดจากมุมๆ ของหน้าจอ ลงมากลางหน้าจอ ถ้าเป็นเมื่อก่อน มันก็จะเรียก Notifications/QuickSettings ลงมา แต่พอเปิดใช้ Multi window แล้ว มันจะนึกว่าเราอยากจะย่อ App มาเป็น Pop-up
เวลากดปุ่ม Recent นั้น เราก็สามารถเลือกได้เลยว่าอยากจะเปิด App เป็นแบบ Multi window หรือไม่ เพราะตรงมุมบนขวาของแถบชื่อ App มันจะมีไอคอนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เมื่อเรากดแล้ว มันจะให้เลือกเปิด App อีกตัวมาทำงานพร้อมกันแบบ Multi window ได้ … ซึ่งตรงนี้แหละ มันยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะ App จะต้องรองรับฟีเจอร์นี้ด้วย ซึ่งพวก App ของ Samsung เองนั้น สามารถใช้งานแบบนี้ได้หมดเลย พวก Google Apps อย่าง Gmail, Google Chrome, YouTube ก็รองรับ ส่วนพวกที่เป็น 3rd Party นั้น จะมี Evernote, Facebook, LINE, Whatsapp เท่านั้นเอง (เท่าที่ลองใช้ App ที่ผมคุ้นเคย)
การใช้งานนั้น เหล่าบล็อกเกอร์ที่ไปทดสอบกัน หลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า Animation ของ User Interface นั้น ลื่นมากทีเดียว ไม่เสียทีที่สเปกแรงจริงๆ และงวดนี้ พวก App ของ Samsung เองก็ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นในหลายๆ จุด เช่น S Note เนี่ย ก็มีความสามารถหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างคุณสมบัติที่เรียกว่า Photo Note ที่สามารถถ่ายรูปภาพ แล้วแปลงให้กลายเป็นภาพจดโน้ตเหมือนจดด้วย S Pen เองเลย แล้วตัว S Note ก็จะมองว่าเป็น Object ที่สามารถนำไปดัดแปลงแก้ไขต่อในภายหลังได้อีก
Air command ที่ก่อนหน้านี้ผมว่ามันยังเป็นฟีเจอร์ที่ให้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่มาก ตอนนี้มีประโยชน์เยอะขึ้นมากทีเดียว … ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานใช้แล้วเกิดประโยชน์อย่าง Action memo ที่ให้คนจดโน้ตด้วยลายมือ แล้ว Samsung Galaxy Note 4 จะแปลงเป็นข้อมูลตัวอักษร พร้อมกับตรวจจับโดยอัตโนมัติว่า ข้อความนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์, URL เว็บ, พิกัดที่อยู่ หรืออีเมล์ เพื่อพร้อมให้ผู้ใช้งานสามารถรับส่งข้อมูลได้จาก Action memo เลย โดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์อีก อันนี้ก็ยังอยู่