ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลวันนี้ ขอชวนแฟนานุแฟนไปเลือกชมสินค้าที่สร้างตัวสร้างชื่อขึ้นมาในช่วงภาวะสงคราม พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ในขณะที่สินค้ารายอื่นต้องพับฐานกลับบ้านเก่ากันไปหลายรายในสถานการณ์สุดอันตรายเช่นนั้น

Puma & Adidas ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะมีรองเท้ากีฬายี่ห้อดัง อย่างเช่น พูม่า (Puma) หรือ อาดิดาส (Adidas) ติดตู้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทั้งสองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการกีฬานั้น เคยมาจากยี่ห้อเดียวกันมาก่อนนั่นคือยี่ห้อ ดาสสเลอร์ (Dassler) และผู้ก่อตั้งก็คือสองพี่น้องชาวเยอรมันสกุลดาสสเลอร์ คือ อดอล์ฟ (อาดิ) และรูดอล์ฟ (รูดิ)พวกเขาประสบความสำเร็จในช่วงกีฬาโอลิมปิกปี 1936 เมื่อนักวิ่งระยะสั้นชื่อ เจสซี่ โอเวนส์ (Jesse Owens) ได้ลองใส่รองเท้าของพวกเขาตามคำชักชวน ซึ่งปรากฏว่าเจสซี่ได้เหรียญทองถึง 4 เหรียญ ทำให้รองเท้าดาสสเลอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

แบรนด์ดังที่สร้างตัวจากสงคราม

แต่พวกเขาก็ยิ้มได้ไม่นานนักเมื่อโลกเข้าสู่สงครามและประเทศมาตุภูมิของพวกเขากำลังพ่ายแพ้ ฮิตเลอร์สั่งให้หยุดทุกกิจการเอกชน แล้วหันมาผลิตยุทธปัจจัย โดยบริษัทดาสสเลอร์เองก็ได้รับคำสั่งให้ผลิตจรวดต่อสู้รถถังอย่าง “Panzerschreck” โดยการประกอบนั้นง่ายมาก แม้แต่แรงงานไร้ฝีมือชาวฝรั่งเศสที่เกณฑ์มาก็สามารถประกอบมันได้อย่างรวดเร็ว เมื่อทหารอเมริกันบุกมาถึงโรงงานของพวกเขาในเมืองแฮร์โซเกเนารัก พวกเขาก็พากันมาดูบริษัทดาสสเลอร์แล้วถกเถียงกันว่าจะทำยังไงกับโรงงานนี้ดี มีคำสั่งให้ทำลายหรือไม่ จนกระทั่งภรรยาของทั้งสองได้เดินออกมาแล้วบอกทหารอเมริกันว่า “พวกเราเป็นเพียงแค่บริษัทธรรมดาที่อยากจะผลิตแค่รองเท้ากีฬาเท่านั้น”

...

แบรนด์ดังที่สร้างตัวจากสงคราม

การมาถึงของอเมริกันทำให้บริษัทดาสสเลอร์กลับมาเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง ทหารอเมริกันต่างแห่กันมาซื้อรองเท้ายี่ห้อดังกันถึงโรงงานจนผลิตกันแทบไม่ทัน แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่สุดท้ายในปี 1948 ทั้งอาดิกับรูดิก็ยุบบริษัทดาสสเลอร์ทิ้ง แล้วแยกกันไปตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง เนื่องจากขัดแย้งกันหลายๆเรื่อง

Dr.Martens ปี 1945 ดร.เคลาส์ มาตินส์ (Dr.Klaus Martens) แพทย์ทหารสังกัดกองทัพบกเยอรมันกำลังหลบหนีผ่านทางเทือกเขาแอลป์ โดยใช้สกีแต่ก็เกิดได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า ครั้นจะใส่รองเท้าบูตของกองทัพแบบนี้ต่อไปก็จะยิ่งเจ็บเสียเปล่าๆ และหนทางหลบหนียังอีกไกลนัก การได้รองเท้าที่เหมาะสมกับเท้าของตนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ประกอบกับเยอรมันประกาศยอมแพ้ พอดี ทำให้ประชาชนออกปล้นสะดมร้านค้าเพื่อกักตุนอาหารไว้ แต่ตัวมาตินส์กลับไปขโมยผืนหนังจากร้านทำรองเท้ามาผืนนึงกับไปหายางรถเก่าๆ เอามาตัดรองเท้าในแบบของแกเอง โดยพื้นรองเท้านั้นออกแบบให้มีช่องดักอากาศอยู่ภายใน ทำให้รองเท้านั้นนุ่มขึ้นและรับน้ำหนักได้ดี

แบรนด์ดังที่สร้างตัวจากสงคราม

หลังจากนั้น ดร.มาตินส์ก็เริ่มออกตระเวนขายรองเท้าของแก แต่ ก็ขายไม่ดีนัก จนได้เจอเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย (Dr.Herbert Funck) ที่มิวนิกในปี 1947 และร่วมกันออกแบบใหม่ รวมทั้งไปเอายางล้อเครื่องบินที่กองทัพอากาศไม่ใช้แล้วเอามาทำเป็นพื้นรองเท้า ด้วยดีไซน์และวัสดุที่ดีขึ้นทำให้ยอดขายพุ่งถึง 80% จนทั้งคู่เริ่มมองหาวิธีให้ส่งออกขายทั่วโลกได้ ในที่สุดก็ได้กลุ่มบริษัทรองเท้า R. Griggs Group Ltd. ของอังกฤษมาเป็นสปอนเซอร์ให้ และแล้ววันที่ 1 เมษายน 1960 รองเท้าในแบรนด์ Dr.Martens คู่แรกก็ได้ออกขายในอังกฤษและกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้คนวัยหนุ่มสาวจนถึงปัจจุบัน

แบรนด์ดังที่สร้างตัวจากสงคราม

Clarks Desert Boots ท่ามกลางสงครามกลางเมืองสเปนในทศวรรษที่ 1930s ทำให้สเปนกลายเป็นสนามลองอาวุธชั้นดีของมหาอำนาจที่กำลังจะตีกันในช่วงสงครามโลก มีทั้งส่งอาวุธมาช่วยหรือแม้กระทั่งทหาร อาสาจากชาติต่างๆมากมาย รวมถึงชาวอังกฤษคนหนึ่ง เขาคือนาธาน คลาก (Nathan Clark) หลานชายผู้สืบทอดบริษัทรองเท้าคลากส์ การที่ มาเป็นพนักงานขับรถพยาบาลท่ามกลางห่ากระสุนนั้นนาธานมาด้วยความสมัครใจเองล้วนๆ หลังจากอยู่ที่สเปนถึง 2 ปี นาธานได้กลับไปยังอังกฤษโดยเป็นนายทหารในหน่วยพลาธิการ ไม่นานนักก็ถูกส่งไปยังพม่าและแอฟริกาเหนือ ที่ที่เป็นสมรภูมิแห่งศักดิ์ศรีระหว่างรอมเมล (Rommel) จากทัพเยอรมันกับมอนต์โกเมอรี่ (Montgomery) แห่งกองทัพบกอังกฤษ เมื่อนาธานมาถึงทะเลทรายในครั้งแรก เขาได้สังเกตว่าชาวพื้นเมืองนั้นจะใช้รองเท้าหนังกลับแบบซูเอ็ด (Suede) แล้วเย็บด้วยด้ายแบบง่ายๆ เขาถึงกับปิ๊งไอเดียของรองเท้าที่เหมาะกับทะเลทราย “ถ้าอยากเดินบนทะเลทราย รองเท้าต้องไม่แข็งปั้กเหมือนกับบูตที่อังกฤษใช้ในตอนนี้” นาธานรีบร่างแบบรองเท้าของเขาแล้วส่งกลับไปยังโรงงานคลากส์ในอังกฤษทันที แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับจากบริษัท โครงการรองเท้าบูตทะเลทรายถูกดองเค็มไว้หลังสงครามจบ คลากส์จึงส่งแบบร่างไปให้บรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น Esquire การโฆษณาดีทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง รองเท้าของนาธานขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและได้ขึ้นชื่อในทำเนียบ “50 รองเท้าที่เปลี่ยนโลก” ของพิพิธภัณฑ์แฟชั่นและยังเป็นสินค้าขายดีของแบรนด์ Clarks จนถึงปัจจุบัน

...

แบรนด์ดังที่สร้างตัวจากสงคราม

Hugo Boss ปี 1931 ฮูโก้ บอสส์ (Hugo Boss) เจ้าของแบรนด์ห้องเสื้อชื่อเดียวกันกับเขากำลังเดินทางมาถึงทางแพร่งสำคัญ เมื่อเศรษฐกิจเยอรมันย่ำแย่ ใครเลยจะมาสนใจกับเสื้อผ้าหรือแฟชั่น ยอดขายไม่ดีทำให้บริษัทมีหนี้ก้อนโต บอสส์พยายามต่อรองกับเจ้าหนี้อย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็เหลือแค่จักรเย็บแค่ 6 เครื่องเท่านั้น เหมือนโชคชะตาแปรผัน เมื่อบอสส์มองเห็นโอกาสในการทำกำไรอีกครั้ง เขาสมัครเข้าร่วมกับพรรคนาซีที่กำลังโตวันโตคืนและแน่นอนว่าเส้นสายที่มากขึ้นทำให้เขาขายดีไม่นานกิจการก็เริ่มเฟื่องฟูอีกครั้ง ธุรกิจของเขาโตขึ้นถึง 10 เท่าในปีเดียว และในปี 1934 บอสส์ก็ได้โอกาสทองอีกครั้งเมื่อเขาได้สัญญาเป็น
ผู้สนับสนุนด้านเครื่องแต่งกายของ NSKK, SS, SA, ยุวชนนาซี ฯลฯ ในเครือนาซี ที่มีสมาชิกอยู่หลายล้านนายในช่วงสงคราม แม้ว่าบอสส์จะถูกปรับหนักหลังสงครามเนื่องจากเป็นผู้สนับสนุนพรรคนาซี แต่ธุรกิจของเขาก็สามารถอยู่รอดและกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้าที่หรูหราในปัจจุบัน

แบรนด์ดังที่สร้างตัวจากสงคราม

...

Fanta เมื่อนาซีครองอำนาจ นโยบายคว่ำบาตรหรือกีดกันทางการค้าต่างๆ ก็เริ่มถูกใช้กับประเทศฟาสซิสต์แห่งนี้ จนบริษัทต่างๆได้รับผลกระทบไม่เว้นแม้แต่บริษัทโคคา-โคลาในเยอรมัน หัวเชื้อในการผลิตน้ำดำ ยี่ห้อนี้เริ่มขาดแคลนจนไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาดที่สูงขึ้นทุกวัน ยิ่งในช่วงสงครามโลกนี่ไม่ต้องพูดถึง นายมากซ์ ไคธ์ (Max Keith) หัวเรือใหญ่ของบริษัทโค้กสาขาเยอรมันจึงหัวใส เขานำกากแอปเปิ้ลที่ไม่มีใครสนมาทำเป็นหัวเชื้อน้ำหวานแทนในชื่อใหม่ ว่า แฟนต้า (Fanta) อย่างที่เราได้เห็นกันจนชินตา ในปัจจุบันน้ำหวานยี่ห้อนี้ได้พัฒนาปรับปรุงจนเป็นอย่างที่เราๆท่านๆเคยดื่มกัน โดยออกวางขายไปทั่วโลกและมีมากกว่า 100 รสให้ได้ลิ้มลอง

เอาล่ะครับ วันนี้ขอนำมาเล่าไว้แค่นี้ก่อน หากคราวหน้ามีโอกาสจะเอาเรื่องที่น่าสนใจมาฝากผู้อ่านอีกครั้ง วันนี้สวัสดีครับ.

โดย : กิตติชาติ บุณยะภักดิ์ 
ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน