ดร.เคนท์ แบรนต์ลีย์
สหรัฐฯส่งเครื่องบินไปรับตัวชาวอเมริกัน 2 คนที่ติดเชื้อไวรัสอีโบลาในแอฟริกากลับประเทศแล้ว เมื่อวันศุกร์ แม้จะมีกระแสในประเทศต่อต้านเรื่องนี้ก็ตาม...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันศุกร์สหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินพร้อมทีมแพทย์ไปยังภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เพื่อรับดร.เคนท์ แบรนต์ลีย์ กับนาง แนนซี ไวท์โบล มิชชันนารีชาวอเมริกัน ที่ติดเชื้อไวรัสมรณะ 'อีโบลา' ระหว่างดูแลผู้ป่วยในประเทศไลบีเรีย กลับไปรับการรักษาในสหรัฐฯแล้ว ซึ่งนี่จะทำให้เป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์ผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในแผ่นดินสหรัฐฯ
เครื่องบินที่ถูกส่งไปเป็นเครื่องบินส่วนบุคคลขนาดเล็ก ทำให้สามารถพอผู้ป่วยกลับมาได้ทีละคนเท่านั้น โดยผู้ป่วยคนแรกจะถูกนำตัวไปส่งที่ฐานทัพอากาศ 'ด็อบบินส์' ในเมืองมาริเอตตา รัฐจอร์เจีย ในช่วงบ่ายวันเสาร์ (2 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะบินกลับไปรับผู้ป่วยคนที่ 2
เมื่อกลับมาถึงสหรัฐแล้ว คาดว่าผู้ป่วยทั้ง 2 คนจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย 'เอโมรี' ในนครแอตแลนตา ตามการเปิดเผยของ ดร.บรูซ ริบเนอร์ ผู้คอยสังเกตการณ์หน่วยแยกผู้ป่วยพิเศษในไลบีเรีย ซึ่งเป็นที่ที่ชาวอเมริกันทั้ง 2 คนรับการรักษาโรคอีโบลา โดยเมื่อวันศุกร์ ดร.ริบเนอร์ กล่าวว่า ผู้ป่วยทั้งคู่มีอาการทรงตัว และปลอยภัยสำหรับการเดินทาง
...
ทั้งนี้ การระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาใน 3 ประเทศในแอฟริกาตะวันตกได้แก่ กินี, ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน ทำให้มีผู้ป่วยแล้ว 1323 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตไปแล้ว 729 ราย ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (ฮู: WHO) ขณะที่ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกว่าไวรัสตัวนี้ออกแพร่กระจายออกจากภูมิภาคดังกล่าว หลังจากมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไลบีเรียคนหนึ่ง สามารถเดินทางไปยังเมืองลากอสของไนจีเรียทั้งที่ติดเชื้อมรณะตัวนี้ และเสียชีวิตที่นั่น
ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากมีการเปิดเผยเรื่องการอพยพผู้ป่วยอีโบลาชาวอเมริกันทั้ง 2 คนกลับประเทศสู่สาธารณะ เมื่อวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) ชาวอเมริกันจำนวนมากก็ออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ด้วยความกลัวและหวั่นวิตก พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า ทำไมจึงต้องนำโรคอันตรายเช่นนี้เข้ามาในประเทศโดยสมัครใจด้วย
อย่างไรก็ตาม ดร.ริบเนอร์ แถลงยืนยันว่า ความเสี่ยงที่จะมีผู้ติดเชื้ออีโบลาจาก ดร.แบรนต์ลีย์ กับนาง ไวท์โบล ต่ำมาก และย้ำด้วยว่าทั้งสองคนเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ที่เสี่ยงชีวิตตัวเองไปช่วยเหลือผู้คนในแอฟริกา พวกเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด และพวกเขามีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าหากมารับการรักษาในสหรัฐฯ